จากสถิติที่ผ่านมาเห็นได้ว่าในปัจจุบันวิกฤต Climate Change มีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้อุณหภูมิของโลกเราสูงขึ้น และ ธรรมชาติได้เปลี่ยนแปลงและมีแนวโน้มที่แย่ลงในทุก ๆ ปี ปัจจัยเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายในทุกมิติ รวมถึงในมุมของ IT Infrastructure ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
หากทุกคนลองจินตนาการ ว่าคุณอยู่ในองค์กรขนาดใหญ่ ที่ต้องจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลซึ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน ระบบจัดเก็บข้อมูลที่ซับซ้อนทำให้ต้องพึ่งพา Data Center จำนวนมาก ซึ่งแต่ละแห่งใช้พลังงานสูงและปล่อย Carbon Footprint ในระดับที่น่ากังวล การประมวลผลข้อมูลที่ล่าช้าและทรัพยากรที่ใช้งานเกินความจำเป็น ล้วนสะท้อนถึงประสิทธิภาพที่ลดลง พร้อมกับเพิ่มภาระทางสิ่งแวดล้อม เมื่อองค์กรเริ่มตระหนักถึง Data Center Footprint และ Carbon Footprint รวมถึง Power Consumption ที่จำเป็นต้องใช้มากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเรื่อง ESG ในอนาคตอีกด้วย
Pure Storage คืออะไร?
Pure Storage คือโซลูชันการจัดเก็บข้อมูลที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผล ลดความซับซ้อนในการจัดการ และลดการใช้พลังงาน เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลที่สามารถขยายตัวได้ง่ายและรองรับการทำงานที่มีความสำคัญ
ข้อดีของ Pure Storage
1.ความเร็วและประสิทธิภาพ (Speed and Efficiency)
ในยุคที่ธุรกิจต้องแข่งขันด้วยความเร็ว การจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพกลายเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงาน Pure Storage ได้นำเสนอโซลูชันล้ำสมัยผ่านเทคโนโลยี FlashArray และ FlashBlade ซึ่งพลิกโฉมการเข้าถึงข้อมูลให้รวดเร็วกว่าระบบดั้งเดิมหลายเท่า ส่งผลให้การทำงานในทุกแผนกเป็นไปอย่างราบรื่น และช่วยให้องค์กรตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วกว่าเดิม “ลองนึกภาพว่า การรันแอปพลิเคชันสำคัญที่เคยใช้เวลาหลายนาที กลับเสร็จสิ้นในเวลาเพียงไม่กี่วินาที” นี่คือข้อได้เปรียบที่ช่วยให้องค์กรก้าวนำหน้าคู่แข่ง
2.การจัดเก็บข้อมูลอย่างยั่งยืน (Sustainability & Green Storage)
ในยุคที่องค์กรให้ความสำคัญกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน (Sustainability) การลดคาร์บอนฟุตพรินท์ (Carbon Footprint) กลายเป็นเป้าหมายหลักที่ทุกภาคส่วนพยายามผลักดัน แนวคิด Green Storage จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดย Pure Storage ได้นำเสนอโซลูชันการจัดเก็บข้อมูลที่ทั้งทรงพลังและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย Pure Storage มุ่งเน้นลดการใช้พลังงาน ในขณะที่ยังคงความสามารถสูงสุด ลดการใช้พื้นที่ใน Data Center (Reduce Data Center Footprint) ซึ่งหมายถึงการใช้ทรัพยากรลดลง และช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อเป้าหมายด้าน ESG ได้อย่างชัดเจน
3. ความยืดหยุ่น (Easily Scalability)
หนึ่งในจุดเด่นที่น่าประทับใจของ Pure Storage คือความยืดหยุ่นที่ตอบโจทย์ทุกการเติบโตขององค์กร ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นใช้งานจากอุปกรณ์รุ่นใด โซลูชันนี้ถูกออกแบบมาให้รองรับการขยายพื้นที่จัดเก็บข้อมูลได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เดิมทิ้ง คุณสามารถเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลได้ทันทีตามความต้องการ ช่วยลดปัญหาด้านความล้าหลังของเทคโนโลยี และความซับซ้อนในการอัปเกรดระบบ
4. การอัปเดตต่อเนื่องโดยไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ (Evergreen Storage)
แนวทางการจัดการระบบจัดเก็บข้อมูลจาก Pure Storage ที่อัปเดตและอัปเกรดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในการเปลี่ยนอุปกรณ์บ่อยครั้ง พร้อมเพิ่มความยืดหยุ่นและรองรับการเติบโตของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคุณสมบัติที่โดดเด่นของ Evergreen Storage มีดังนี้:
- อัปเกรดได้โดยไม่สะดุด (Non-Disruptive Upgrades – NDU):
ผู้ใช้งานสามารถอัปเกรดระบบจัดเก็บข้อมูลได้โดยไม่ต้องหยุดการดำเนินงาน ช่วยลดผลกระทบต่อการทำธุรกิจและเพิ่มความต่อเนื่องในการใช้งาน - โมเดลการสมัครสมาชิก (Subscription Model):
ระบบนี้ใช้โมเดลการจ่ายตามการใช้งานจริง (Pay-as-you-go) ซึ่งช่วยลดต้นทุนการลงทุนเริ่มต้นในระบบจัดเก็บข้อมูล ทำให้ธุรกิจสามารถบริหารงบประมาณได้อย่างคล่องตัว - รองรับเทคโนโลยีในอนาคต (Future Proof):
Evergreen Storage ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงฟีเจอร์และเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดได้อย่างง่ายดาย รองรับการเปลี่ยนแปลงของความต้องการทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว - ขยายความจุได้อย่างง่ายดาย (Simple Capacity Expansion):
ผู้ใช้สามารถเพิ่มความจุของระบบจัดเก็บข้อมูลได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เดิม ทำให้การจัดการข้อมูลที่เติบโตขึ้นเป็นไปอย่างราบรื่น - ความยั่งยืน (Sustainability):
ด้วยการลดความจำเป็นในการเปลี่ยนอุปกรณ์และยืดอายุการใช้งานของระบบ Evergreen Storage ช่วยลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์และส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และความยั่งยืน Evergreen Storage ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจตอบสนองต่อความต้องการในปัจจุบันได้ดีขึ้น แต่ยังเตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายในอนาคตอีกด้วย
Pure Storage ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องอะไร?
1.Performance storage (HDD): Pure storage (all-flash) ทุก model
2.Scailabilijv’ty: สามารถทำการขยายโดยที่ไม่ต้องหยุดระบบ ธุรกิจดำเนินต่อไปได้
3.Managability: สามารถจัดการอุปกรณ์ storage ได้อย่างง่ายดายด้วย concept ที่ไม่ซับซ้อน
4.Carboon footprint: ใช้เทคโนโลยีที่เน้นการใช้พลังงานน้อยลง และลดการใช้ datacenter footprint เพราะ Pure storage (Data reduction) และ มี disk ขนาดใหญ่
5.Business continuity: มี solution ที่ช่วยในการสำรองข้อมูลไม่ว่าจะเป็น Active cluster, Active DR เพื่อทำให้องค์กรสามารถทำงานต่อไปได้อย่างราบรื่น กรณีเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น
ธุรกิจไหนที่เหมาะสมกับ Pure Storage
Pure Storage เป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์สำหรับธุรกิจหลายประเภท โดยเฉพาะธุรกิจที่มีความต้องการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ และต้องการประสิทธิภาพสูงในการประมวลผลข้อมูล การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็ว รวมถึงธุรกิจที่ต้องการลดการใช้พลังงานและคำนึงถึงเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม (ESG) การเลือกใช้ Pure Storage สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดความซับซ้อนในการจัดการข้อมูล และยังช่วยเสริมสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจอีกด้วย
1. ธุรกิจการเงินและธนาคาร (Finance & banking)
ธุรกิจการเงินและธนาคารต้องการการประมวลผลข้อมูลอย่างรวดเร็วและปลอดภัย เช่น การทำธุรกรรมเรียลไทม์ การวิเคราะห์ความเสี่ยง และการสำรองข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ Pure Storage รองรับการประมวลผลที่มีความเร็วสูงและการขยายตัวได้ง่าย เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการทำงานต่อเนื่อง 24/7 โดยไม่มี Downtime
2. อุตสาหกรรมสุขภาพ (Healthcare)
ระบบสุขภาพต้องจัดการกับข้อมูลผู้ป่วยที่มีความละเอียดอ่อนและต้องการการเข้าถึงแบบเรียลไทม์ เช่น การดูผลการตรวจทางการแพทย์แบบดิจิทัล (Imaging) การเก็บข้อมูลประวัติผู้ป่วย และการวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ Pure Storage สามารถจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีความปลอดภัยสูง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการทางการแพทย์
3. อุตสาหกรรมพลังงานและการผลิต (Energy & Manufacturing)
ธุรกิจพลังงานและการผลิตต้องการเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลจากเครื่องจักรและกระบวนการผลิต เช่น ข้อมูลเซ็นเซอร์ IoT ข้อมูลการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Pure Storage ช่วยจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่าทั้งพลังงานและพื้นที่จัดเก็บ
4. สื่อและความบันเทิง (Media & Entertainment)
ธุรกิจสื่อดิจิทัลและการผลิตภาพยนตร์ต้องใช้การจัดเก็บไฟล์ขนาดใหญ่ เช่น วิดีโอความละเอียดสูง (4K, 8K) และโปรเจกต์การตัดต่อ Pure Storage ช่วยให้การเข้าถึงไฟล์มีความรวดเร็ว ช่วยประหยัดเวลาการผลิตเนื้อหา และรองรับการจัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
5. องค์กรและธุรกิจเทคโนโลยี (Tech Companies)
ธุรกิจเทคโนโลยี เช่น SaaS, Cloud Providers, และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning จำเป็นต้องจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในเวลาสั้น ๆ Pure Storage ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รองรับข้อมูลที่ต้องเข้าถึงเร็ว และการขยายระบบได้อย่างยืดหยุ่นโดยไม่หยุดชะงัก
6. องค์กรภาครัฐ (Government)
องค์กรภาครัฐที่จัดเก็บข้อมูลสำคัญของประชาชน เช่น ระบบทะเบียนราษฎร์ การเก็บข้อมูลด้านภาษี หรือข้อมูลโครงสร้างพื้นฐาน จำเป็นต้องมีโซลูชันการจัดเก็บที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และสามารถสำรองข้อมูลได้รวดเร็วเพื่อให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง
7. ธุรกิจค้าปลีก (Retail)
ธุรกิจค้าปลีกที่ต้องจัดการกับข้อมูลลูกค้า การทำธุรกรรม และการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค จะได้ประโยชน์จากการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อนำไปปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลัง การตลาด และประสบการณ์ลูกค้า
8. สถาบันการศึกษาและวิจัย (Education & Research)
มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต้องจัดการกับข้อมูลวิจัยปริมาณมาก ซึ่งต้องการการจัดเก็บและการเข้าถึงที่รวดเร็ว เช่น การประมวลผลข้อมูลจากงานวิจัยด้านชีววิทยา ฟิสิกส์ หรือการคำนวณขนาดใหญ่ (Big Data) Pure Storage ช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลวิจัยมีความรวดเร็วและปลอดภัย
Pure Storage ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลด้วยเทคโนโลยี All – Flash ที่รวดเร็ว ปลอดภัย และใช้งานง่าย ช่วยลดต้นทุนการจัดการ ลดการใช้พลังงาน และรองรับการขยายตัวได้อย่างยืดหยุ่น เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการความเร็ว ความน่าเชื่อถือ และความคุ้มค่าในการจัดการข้อมูล