Skip links
View
Drag

End to End Digital Lending พลิกโฉมสินเชื่อด้วย AI พร้อมผู้เชี่ยวชาญ ยกระดับความเร็ว แม่นยำ และประสบการณ์ลูกค้าที่มากกว่าเดิม

ในปัจจุบันตลาดสินเชื่อมีการแข่งขันสูงมาก และสถาบันการเงินกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น กระบวนการที่ซับซ้อน ต้นทุนการดำเนินงานที่สูง และความคาดหวังของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น End-to-End Digital Lending คือคำตอบที่จะช่วยสถาบันการหาเงินบริหารจัดการสินเชื่อได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ  

End to End Digital Lending คืออะไร? 

End to End Digital Lending เป็น Financial Service ที่ให้บริการพัฒนาโซลูชันที่ครอบคลุมความต้องการทางด้าน Digital Lending ด้วย Trusted Platform ที่ครบวงจรตั้งแต่การวางกลยุทธ์ การให้คำปรึกษา การออกแบบระบบ การวางแผนระบบความปลอดภัย ไปจนถึงการพัฒนาและบูรณาการแพลตฟอร์ม พร้อมส่งมอบโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะทางของลูกค้าด้วยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ 

ซึ่งในยุคดิจิทัลที่การดำเนินธุรกิจต้องการความรวดเร็วและแม่นยำ Digital Lending ถือเป็น Core Business Application ซึ่งเป็นหัวใจสำหรับธุรกิจด้านการให้สินเชื่อ อีกทั้งสถาบันการเงินกำลังเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการสินเชื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การนำโซลูชันดิจิทัลและ Artificial Intelligence (AI) มาใช้ ไม่เพียงช่วยลดต้นทุน (Cost Optimization) แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Operational Efficiency) ได้อีกด้วย 

AI เปลี่ยนโฉมการคัดกรองผู้ขอสินเชื่อ 

ปัจจุบันการคัดกรองผู้ขอสินเชื่อในหลายสถาบันการเงินยังคงอาศัยกระบวนการแบบดั้งเดิม (Traditional Approach) โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่มาวิเคราะห์ เช่น ข้อมูลเครดิต ประวัติการทำธุรกรรม และเอกสารทางการเงินมาวิเคราะห์ความเสี่ยง ซึ่งอาจใช้เวลานาน ไม่แม่นยำเพียงพอ และอาจไม่สะท้อนพฤติกรรมทางการเงินที่แท้จริงของผู้กู้ โซลูชันของเรานำ AI เข้ามาช่วยในกระบวนการนี้ โดย AI สามารถจำแนก (Classify) กลุ่มผู้ขอสินเชื่อที่มีความเสี่ยง วิเคราะห์พฤติกรรม และช่วยให้กระบวนการตัดสินใจเป็นไปอย่างแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดโอกาสเกิดหนี้เสียในอนาคต 

ยกระดับการบริหารพอร์ตสินเชื่อให้มีประสิทธิภาพ 

นอกจากการคัดกรองผู้ขอสินเชื่อ AI ยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio Management) โดยทำให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เช่น พฤติกรรมการใช้จ่าย ข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) และแบบแผนทางการเงินที่ไม่สามารถจับได้ด้วยวิธีดั้งเดิม ระบบ AI สามารถจำแนก (Classify) กลุ่มผู้ขอสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ และช่วยให้ธนาคารตัดสินใจปล่อยสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  

ปลดล็อกศักยภาพการปล่อยสินเชื่อด้วย Digital Transformation 

ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้โซลูชันของเรา การปรับกระบวนการสินเชื่อที่ซับซ้อนให้เข้าสู่ระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ (Full Digital Transformation) ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ขอสินเชื่อได้รวดเร็วขึ้น ครอบคลุมมากขึ้น และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดต้นทุนในการดำเนินงาน และปรับปรุงประสบการณ์พร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วขึ้นทั้งยังช่วยให้สถาบันการเงินดำเนินงานได้อย่างสอดคล้องกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง 

เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยเทคโนโลยี 

ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สถาบันการเงินที่ใช้ AI และโซลูชันดิจิทัล เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้สถาบันการเงินสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมั่นคง โดยใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน 

ทั้งนี้การนำ AI และ Machine Learning (ML) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวงการสินเชื่อมาผสานกับกระบวนการสินเชื่อแบบดิจิทัล  
พัฒนาระบบ Credit Scoring ที่แม่นยำขึ้น – AI วิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งที่หลากหลาย เช่น พฤติกรรมการใช้จ่าย หรือข้อมูลโซเชียล เพื่อช่วยตัดสินใจสินเชื่อได้อย่างแม่นยำขึ้น  
ลดความเสี่ยงและการผิดนัดชำระ – AI สามารถตรวจจับพฤติกรรมที่มีแนวโน้มก่อให้เกิด NPL (Non-Performing Loan) ได้ล่วงหน้า ช่วยให้ธนาคารสามารถวางแผนบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น  
เร่งกระบวนการปล่อยสินเชื่ออัตโนมัติ – ระบบ AI ช่วยให้ลูกค้าสามารถได้รับการอนุมัติสินเชื่อภายในไม่กี่นาทีผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์ 

โดย Solution & Services ของเรามีบริการดังนี้ 

1. ระบบการสมัครสินเชื่อ (Loan Application System) 

  • ช่องทางที่ลูกค้าสามารถสมัครสินเชื่อผ่าน ช่องทางดิจิทัล เช่น Mobile App, เว็บไซต์ หรือพาร์ทเนอร์ด้าน E-Commerce 
  • ระบบรองรับการยืนยันตัวตนแบบ e-KYC และการประมวลผลเอกสารด้วย OCR เพื่อความสะดวกและลดเวลาของลูกค้า 
  • Campaign Management ช่วยแนะนำสินเชื่อที่เหมาะสมให้กับลูกค้าผ่านช่องทางที่ใช้งานบ่อย 
  • สามารถตรวจสอบสถานะการสมัครได้แบบเรียลไทม์  

2. ระบบการตรวจสอบข้อมูลและอนุมัติสินเชื่อ (Loan Origination System) 

ระบบที่ช่วยให้กระบวนการขอสินเชื่อจากลูกค้าและการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยระบบนี้จะรวมถึงการรับข้อมูลจากลูกค้า การประมวลผลข้อมูลดังกล่าวเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า รวมไปถึงการตรวจสอบเครดิต การจัดการเอกสารต่าง ๆ และการติดตามสถานะของคำขอสินเชื่อจนกระทั่งอนุมัติหรือปฏิเสธคำขอสินเชื่อ 

  • ใช้ ระบบอัตโนมัติ (Automation) ในการคัดกรองข้อมูล เช่น การตรวจสอบเครดิต (Credit Scoring) และการประเมินหลักประกัน 
  • นำ AI และ Data Analytics มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจด้านสินเชื่อ 
  • รองรับการดำเนินงานแบบ Straight-Through Processing (STP) ที่ช่วยลดระยะเวลาการอนุมัติ 
  • การตรวจสอบข้อมูลเป็นไปตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบและความปลอดภัย 

3. ระบบบริหารจัดการบัญชีสินเชื่อ (Loan Management System) 

ระบบที่ใช้ในการบริหารจัดการสินเชื่อหลังจากที่ได้รับการอนุมัติ ซึ่งรวมถึงการติดตามการชำระเงิน การคำนวณดอกเบี้ย การออกใบแจ้งหนี้ การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขสินเชื่อ การบริหารจัดการหนี้ที่ค้างชำระ และการปิดบัญชีสินเชื่อเมื่อเสร็จสิ้นการชำระหนี้ 

  • หลังจากอนุมัติสินเชื่อ ระบบจะช่วยจัดการบัญชีสินเชื่อ เช่น การคำนวณดอกเบี้ย การออกใบแจ้งหนี้ และการติดตามการชำระเงิน 
  • รองรับ การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขสินเชื่อ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ (Debt Restructuring) หรือการเปลี่ยนแปลงตารางชำระเงิน 
  • ระบบมีความยืดหยุ่นในการจัดการสินเชื่อประเภทต่างๆ ทั้งสินเชื่อบุคคล สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อรถยนต์ 
  • ช่วยลดข้อผิดพลาดด้วยการดำเนินงานแบบอัตโนมัติ 

4. การติดตามและจัดการหนี้ (Debt Collection System) 

ระบบที่ใช้ในการติดตามและจัดการหนี้ที่ค้างชำระจากลูกค้าหรือผู้กู้ เพื่อให้ลูกค้าชำระหนี้ตามกำหนด หรือทำการเจรจาเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมสำหรับการชำระหนี้ โดยระบบนี้มักจะรวมถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ช่วยในการติดตามหนี้ การแจ้งเตือนลูกค้า และการบูรณาการกับการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่เก็บหนี้ 

  • ระบบมีฟังก์ชันติดตามการชำระเงิน พร้อมการแจ้งเตือนลูกค้าในกรณียอดค้างชำระผ่านช่องทางที่เหมาะสม เช่น SMS หรืออีเมล 
  • รองรับการจัดการ NPA/NPL และการบูรณาการกับโครงการ Debt Clinic เพื่อช่วยเจรจาหนี้ 
  • ใช้ AI และข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าเพื่อกำหนดกลยุทธ์การติดตามหนี้ที่เหมาะสม เช่น การปรับแผนการชำระเงินหรือการเจรจา 

End to End Digital Lending ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าในเรื่องใด 

  • ลดเวลาการดำเนินงาน: ระบบสินเชื่อดิจิทัลช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน ด้วยการใช้กระบวนการอัตโนมัติ เช่น การตรวจสอบเครดิต และการใช้เทคโนโลยี OCR ในการประมวลผลเอกสาร ทำให้การอนุมัติสินเชื่อสามารถเสร็จสิ้นได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงแทนที่จะเป็นหลายวัน 
  • ลดต้นทุนการดำเนินการ: การใช้ระบบอัตโนมัติในการคำนวณดอกเบี้ย การออกใบแจ้งหนี้ และการติดตามการชำระเงิน ช่วยลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์และทำให้ต้นทุนในการดำเนินการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 
  • ปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า: ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวกผ่านช่องทางดิจิทัลต่างๆ เช่น แอปพลิเคชันมือถือและเว็บไซต์ สามารถติดตามสถานะการสมัครสินเชื่อแบบเรียลไทม์ และเลือกสินเชื่อที่เหมาะสมจากแคมเปญที่แนะนำ 
  • ปรับปรุงการตัดสินใจด้านสินเชื่อ: การใช้เทคโนโลยี AI และ Data Analytics ช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเป็นไปอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ ทำให้การตัดสินใจในการอนุมัติสินเชื่อมีความแม่นยำยิ่งขึ้นและลดความเสี่ยงในการให้สินเชื่อที่ไม่ดี 
  • สอดคล้องกับกฎระเบียบ: ระบบสินเชื่อดิจิทัลมีความสามารถในการปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ อย่างครบถ้วน เช่น การใช้ e-KYC เพื่อยืนยันตัวตนและการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าอย่างปลอดภัย 
  • ปรับปรุงการจัดการหนี้และการติดตาม: ระบบ Debt Collection ช่วยในการติดตามการชำระหนี้และส่งการแจ้งเตือนเมื่อมีการค้างชำระ ช่วยลดภาระในการจัดการหนี้และทำให้การติดตามหนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ธุรกิจที่เหมาะกับ End to End Digital Lending 

  1. ธนาคารและสถาบันการเงิน: การใช้ระบบสินเชื่อดิจิทัลจะช่วยให้ธนาคารสามารถปรับปรุงกระบวนการอนุมัติสินเชื่อ ลดเวลาการดำเนินงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้า โดยสามารถให้บริการได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้นในการประเมินความเสี่ยง 
  1. บริษัทสินเชื่อส่วนบุคคล: ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ต้องการพัฒนากระบวนการอนุมัติสินเชื่อให้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยสามารถใช้ระบบสินเชื่อดิจิทัลเพื่อให้การตรวจสอบเครดิต การประมวลผลเอกสาร และการอนุมัติสินเชื่อเป็นไปอย่างอัตโนมัติ 
  1. บริษัทสินเชื่อที่มีหลักประกัน: บริษัทที่ให้สินเชื่อที่มีหลักประกันสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการวิเคราะห์มูลค่าหลักประกันและช่วยให้กระบวนการอนุมัติสินเชื่อเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 
  1. บริษัทเช่าซื้อและลีสซิ่ง: ธุรกิจที่ให้บริการเช่าซื้อหรือลีสซิ่งสามารถใช้ระบบนี้ในการประเมินการเช่าซื้อสินทรัพย์และการตรวจสอบความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ รวมถึงลดเวลาการดำเนินการในการอนุมัติสินเชื่อ 

Uplift ชีวิตดิจิทัลของทุกคน ด้วย End-to-End Digital Lending 

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกด้านของชีวิต ระบบสินเชื่อดิจิทัล (End-to-End Digital Lending) ได้เข้ามายกระดับบริการทางการเงินให้ทันสมัยขึ้น ตอบโจทย์ทั้งลูกค้าและองค์กร ด้วยประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ความรวดเร็วในการดำเนินงาน และประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น 

1. ปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience Enhancement) 

หนึ่งในหัวใจสำคัญของ Digital Lending คือการทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้บริการสินเชื่อออนไลน์ 

  • ความสะดวกในการเข้าถึง: ลูกค้าสามารถสมัครและเข้าถึงบริการสินเชื่อได้อย่างสะดวกและรวดเร็วผ่าน แพลตฟอร์มดิจิทัล ทั้งบน แอปพลิเคชันมือถือและเว็บไซต์ พร้อมรองรับ Omnichannel Experience เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละกลุ่ม 
  • การติดตามสถานะเรียลไทม์: สามารถตรวจสอบความคืบหน้าของทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสมัครสินเชื่อจนถึงการอนุมัติได้แบบ เรียลไทม์ (Real-Time Tracking) และเสริมสร้างความมั่นใจในการใช้บริการ 
  • การเลือกสินเชื่อที่เหมาะสม: ระบบแนะนำสินเชื่ออัจฉริยะ (Campaign Management) ช่วยให้ลูกค้าเลือกสินเชื่อที่ตรงกับความต้องการและเงื่อนไขของตนเองได้ง่ายขึ้น 

2. เพิ่มความเร็วในการดำเนินงาน (Operational Efficiency) 

Digital Lending ไม่เพียงแต่ทำให้การสมัครสินเชื่อเป็นเรื่องง่าย แต่ยังช่วยให้กระบวนการทั้งหมดมีความรวดเร็วและแม่นยำขึ้น 

  • การดำเนินการที่รวดเร็ว: ด้วยระบบอัตโนมัติ เช่น การตรวจสอบเครดิต (Credit Scoring) และการประมวลผลเอกสารด้วย OCR ทำให้สามารถลดเวลาการอนุมัติจากหลายวันเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง 
  • ลดขั้นตอนที่ซับซ้อน: AI และ Data Analytics ช่วยให้กระบวนการอนุมัติสินเชื่อและติดตามการชำระหนี้มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

3. การลดต้นทุน (Cost Reduction) 

องค์กรที่ใช้ Digital Lending สามารถลดต้นทุนในการดำเนินงานได้ ดังนี้ 

  • ลดต้นทุนการดำเนินการ: ระบบอัตโนมัติช่วยจัดการงานที่ซับซ้อน เช่น การคำนวณดอกเบี้ย การออกใบแจ้งหนี้ และการติดตามหนี้ ทำให้สามารถลดความผิดพลาดจากการทำงานด้วยมนุษย์ และช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างแม่นยำและรวดเร็วขึ้น 
  • ลดค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษา: การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยช่วยลดความซับซ้อนในการดูแลระบบ ลดภาระด้านไอที และลดต้นทุนการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานไอที เพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับขนาดระบบ (Scalability) ตามความต้องการ 

4. การสนับสนุนการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ (Data-Driven Decision Making) 

ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการปล่อยสินเชื่อ Digital Lending ใช้ AI และ Data Analytics เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างแม่นยำ 

  • การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า: วิเคราะห์พฤติกรรมทางการเงิน ประเมินความเสี่ยงด้านเครดิต และคาดการณ์แนวโน้มการชำระหนี้ เพื่อให้เกิดการปล่อยสินเชื่อที่มีคุณภาพ 
  • การตัดสินใจที่แม่นยำ: ระบบสามารถระบุลูกค้าที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์สินเชื่อในช่วงเวลาที่เหมาะสม ลดความเสี่ยงของธุรกิจและลดหนี้เสีย (NPL) และเพิ่มอัตราการอนุมัติสินเชื่อที่มีคุณภาพ 

5. เสริมสร้างความยืดหยุ่น (Flexibility and Scalability) 

ธุรกิจที่ต้องการเติบโตในยุคดิจิทัลจำเป็นต้องมีความสามารถในการปรับตัว และ Digital Lending ตอบโจทย์นี้ได้อย่างดี 

  • การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง: ระบบสามารถอัปเดตเงื่อนไขสินเชื่อหรือปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์ตลาดได้อย่างรวดเร็ว 
  • ขยายการบริการ: รองรับปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ลดประสิทธิภาพของระบบ ทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง 

End to End Digital Lending เป็นเครื่องมือที่ช่วยยกระดับระบบสินเชื่อให้ทันสมัย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นโดยการนำ AI พร้อมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เข้ามาช่วย ในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ หากองค์กรของท่านกำลังมองหาโซลูชันที่ช่วยตอบโจทย์ในด้านนี้ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณแอร์ วรัชญา ประพฤติดี Functional Consultant ทีม Business Solution Email : varatchaya@mfec.co.th