สวัสดีค่ะเจนนะคะ ปัจจุบันเป็นพนักงาน MFEC ทำงานในตำแหน่ง Sustainability Development Specialist อยู่ทีม Corporate Communication and Branding (CCB) วันนี้เจนจะมาถ่ายทอดเรื่องราวการทำงานในสายการพัฒนาด้านความยั่งยืนขององค์กร (Corporate Sustainability Development) จากจุดเริ่มต้นในฐานะ Creative Content พร้อมโอกาสการเติบโตที่สามารถกำหนดเองได้ และความสำเร็จร่วมกับองค์กรในการคว้าคะแนนการประเมิน SET ESG Rating ระดับสูงสุด “AAA” สู่การเดินหน้าต่อกับการประเมิน FTSE Russell ยกระดับมาตรฐานด้านความยั่งยืนสู่สากล
จาก Creative Content พลิกผันสู่ SD Committee
ต้องท้าวความก่อนว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว จุดเริ่มต้นในการทำงานที่ MFEC ของเจนเริ่มมาจากตำแหน่ง Creative Content ซึ่งตอนนั้นงานหลัก ๆ คือการคิดและสร้างสรรค์ Content เพื่อสื่อสารเรื่องราวขององค์กรให้กับบุคลากรทั้งภายในและภายนอกองค์กรผ่านการผลิตสื่อทั้งบน Social Media และการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ความท้าทายของตำแหน่งงานนี้คือ “เราจะเล่าเรื่องขององค์กรอย่างไรให้คนเข้าใจและอินไปกับเรา?” เพราะเรื่องเทคโนโลยีอาจดูซับซ้อนและเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับหลายคน ทีมจึงต้องคิดและพัฒนาเนื้อหาที่ไม่เพียงแต่ให้ข้อมูล แต่ยังต้องทำให้เข้าใจง่าย และสื่อถึงคุณค่าของ MFEC ได้อย่างชัดเจน ด้วยความที่เราทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสภาพแวดล้อมในที่ทำงานถือเป็นตัวเร่งเครื่องชนิดหนึ่งที่ทำให้ทุกคนในองค์กรต้องปรับตัวและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในทุกวันเพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนไวมาก สิ่งที่รู้เมื่อวานอาจใช้ไม่ได้กับวันนี้ การปรับตัวและพร้อมเรียนรู้จึงกลายเป็นวัฒนธรรมหนึ่งของ MFEC ที่ทุกคนนั้นมีติดตัวเป็นพื้นฐาน ยิ่งตัวเจนเองทำงานอยู่ในทีม Corporate Communication and Branding (CCB) มีหน้าที่ในการสื่อสารและสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กร เจนยิ่งจำเป็นต้องปรับตัวและพร้อมเรียนรู้ตลอดเวลา เพื่อให้ตัวเองเข้าใจสิ่งที่จะต้องสื่อสารอย่างแท้จริง ก่อนที่จะไปสื่อสารกับคนอื่นต่อไป
หลังจากที่ได้สั่งสมประสบการณ์ในงาน Creative Content มาสักพักเจนเริ่มมีโอกาสขยับขยายขอบเขตงานไปสู่การเขียนรายงานความยั่งยืน (SD Report) ซึ่งตอนนั้นมีหน้าที่สร้างสรรค์เนื้อหารายงานจากแหล่งข้อมูลที่มาจากหลากหลายแผนก และปรับเนื้อหาทั้งหมดให้ออกมาในรูปแบบที่ง่ายสำหรับคนอ่าน ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งความท้าทายอย่างมาก เพราะด้วยข้อมูลที่ไหลมาค่อนข้างเยอะ และไม่ได้มาในรูปแบบเดียวกัน อีกทั้งยังมีมาตรฐานการจัดทำรายงานความยั่งยืนเป็นกรอบในการสร้างสรรค์ ทำให้เจนต้องเริ่มศึกษาโครงสร้างข้อมูลภายในเล่มทั้งหมด เพื่อให้ตัวเองสามารถเขียนรายงานความยั่งยืนให้ออกมาได้อย่างถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ และนี่ก็เป็นจุดเริ่มที่ทำให้เจนได้รู้จักกับงานด้านความยั่งยืนค่ะ กระบวนการทำรายงานความยั่งยืนไม่ได้แตกต่างจากการทำ Creative Content งานอื่น ๆ มากนัก เพราะหลักใหญ่ใจความคือต้องรวบรวบข้อมูลตามโครงสร้างการทำรายงานให้ครบถ้วนจากหน่วยงานต่าง ๆ แล้วนำกลับมาเรียบเรียงเนื้อหา จนกระทั่งสร้างสรรค์และแปรรูปออกมาให้เป็นรูปแบบรายงาน ซึ่งทักษะในกระบวนการทำรายงานส่วนใหญ่ก็จะเป็นทักษะที่ Creative Content ต้องมีอยู่แล้ว ประกอบไปด้วย
Research – การค้นคว้าข้อมูลอย่างลึกซึ้งเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าสนใจ
Analyze – การวิเคราะห์ข้อมูล เทรนด์ หรือพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้างเนื้อหาที่ตรงจุด
Creative – ความคิดสร้างสรรค์ในการเล่าเรื่อง การออกแบบคอนเทนต์ให้น่าสนใจและแตกต่าง
Storytelling – การเล่าเรื่องให้ดึงดูดและมีอารมณ์ร่วม
Connect the Dots – การเชื่อมโยงข้อมูลและแนวคิดจากหลายแหล่ง เพื่อสร้างเนื้อหาที่มีมิติและคุณค่า
Data-Driven Thinking – ใช้ข้อมูลมาปรับปรุงคอนเทนต์ให้มีประสิทธิภาพ
ส่วนทักษะใหม่ที่เจนได้เรียนรู้จากการทำรายงานความยั่งยืน และมองว่าเป็นความท้าทายอย่างมาก คือ Coordination & Communication ต้องบอกว่าด้วยประสบการณ์ด้านการทำรายงานความยั่งยืนที่น้อยมาก ๆ การที่จะไปติดต่อขอข้อมูลจากทีมอื่น ๆ จำเป็นที่เราต้องรู้โครงสร้างและเข้าใจว่าข้อมูลที่ขอไปจะนำไปใช้ทำอะไร ในบริบทไหน เพื่อให้คนที่เตรียมข้อมูลสามารถเตรียมได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ซึ่งคนที่ต้องไปขอข้อมูลส่วนใหญ่ก็จะเป็นพี่ ๆ ที่มีประสบการณ์สูงในแต่ละด้าน ความคิดของเราตอนนั้นคือเป็นกังวลและกลัวว่าจะทำได้ไม่ดี ทำให้เจนต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองมีความรู้ที่เพียงพอ แต่โชคดีที่ MFEC เป็นองค์กรที่เปิดกว้างมาก ๆ พอถึงเวลาลงมือทำจริง ๆ ทุกคนก็พร้อมให้คำแนะนำ ที่สำคัญที่สุดคือพร้อมจะรับฟังคำแนะนำจากเราด้วยเช่นกัน จากที่กลัวว่าประสบการณ์น้อยจะทำให้โดนปิดกั้น กลับกลายเป็นว่าทุกคนพร้อมสนับสนุน ซึ่งทำให้เจนมีความมั่นใจขึ้นค่ะ พอเกิดความมั่นใจทั้งจากการเตรียมข้อมูลมาอย่างดีผสมกับการสนับสนุนจากคนรอบข้าง ก็ทำให้การทำงานตรงนี้ของเจนค่อนข้างจะไหลลื่นเลยทีเดียวค่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเลยนะคะ ในการทำรายงานความยั่งยืนปัญหาของเจนคือความไม่ชอบค่ะ ซึ่งเป็นปกติมากของการทำงานที่เรามักจะเจอทั้งงานที่ชอบและไม่ชอบ ส่วนตัวเจนเองมีคติประจำใจอย่างนี้ค่ะ “งานที่ชอบจะปลุก Passion ให้เราก้าวไปข้างหน้า ส่วนงานที่เรายังไม่ถนัดคือบททดสอบของความรับผิดชอบ และความรับผิดชอบนี่แหละที่จะขับเคลื่อนเราไปสู่ความสำเร็จ” ซึ่งจริงมาก ๆ ค่ะที่งานที่เจนไม่ชอบได้กลับกลายมาเป็นความสำเร็จของเจนในปัจจุบันนี้ (ยังไงน่ะหรอ! ต้องตามไปอ่านเคล็ดลับของเจนกันต่อนะคะ)
จากหน้าที่ในการเขียนรายงานความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เจนกลายเป็นคนที่มีความรู้และความเข้าใจโครงสร้างของการทำงานด้านความยั่งยืนอย่างแท้จริง บวกกับการสนับสนุนจากหัวหน้าทีม และเพื่อนร่วมงานทุกคนทำให้เจนได้รับโอกาสดีในการขยับขยายหน้าที่ และก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงานด้านความยั่งยืน (SD Committee) ซึ่งเป็นบทบาทใหม่ที่พลิกแพลงการทำงานแบบเดิม ๆ ไปเลยค่ะ จุดเริ่มต้นก่อนจะเกิดคณะทำงานด้านความยั่งยืน (SD Committee) มาจาก CEO ของ MFEC พี่เล้ง-ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน จึงมีเป้าหมายที่จะพา MFEC เข้าสู่หุ้นยั่งยืน และใช่ค่ะ! คำถามแรกของเจนก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ยังไม่รู้นั่นแหละค่ะ “หุ้นยั่งยืนคืออะไร?” ถึงเวลาที่เจนต้องเริ่มต้นเรียนรู้กับบทบาทใหม่นี้อีกครั้ง
พามารู้จักการประเมินหุ้นยั่งยืน (SET ESG Rating) กับการทำงานสุดท้าทาย
หุ้นยั่งยืน หรือ THSI ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น SET ESG Rating คือ ผลการประเมินหุ้นยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดทำขึ้น เพื่อประเมินผลการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) เป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนตามแนวคิดการลงทุนอย่างยั่งยืนโดยนำปัจจัยด้าน ESG มาประกอบการตัดสินใจลงทุนควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของบริษัท
ในปี 2566 เป็นปีแรกที่ MFEC ได้เริ่มดำเนินการเพื่อเข้าสู่การประเมินหุ้นยั่งยืน เกิดการรวมตัวกันของพนักงานหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อฟัง Direction และเป้าหมาย ซึ่งเจนเองก็ได้มีโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานในฐานะผู้จัดทำรายงานความยั่งยืน ทีมงานชุดนี้อยู่ภายใต้การดูแลของพี่เอ้ – ธนกร ชาลี COO, MFEC ด้วยความที่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหม่มาก ๆ สำหรับทีมงานทุกคน ในปีแรกเราจึงจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยดูแลและให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของการประเมิน โดยความท้าทายแรกหลังจากที่รู้ว่าต้องเข้าสู่หุ้นยั่งยืน คือเรามีเวลาเพียงแค่ 2 เดือนในการจัดเตรียมเอกสารและข้อมูลสำหรับการตอบแบบประเมินที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติสำคัญ คือ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล รวมทั้งหมด 21 หมวด 150 คำถาม บน Excel กว่า 935 บรรทัด (พอจะเห็นความเยอะไหมคะ!) ต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ทีมงานทุกคน Synergy กันสุด ๆ เลยค่ะ เพราะต้องอยู่เตรียมเอกสารด้วยกันตลอดช่วงระยะเวลา 2 เดือนเต็ม ต้องขอบคุณพี่ ๆ ที่ปรึกษาที่ทำงานหนักไปกับเราและทีมงานหลักที่ช่วยกันรวบรวมเอกสาร เรียกได้ว่าหัวหมุนจนวินาทีสุดท้ายก่อนจะกดส่งแบบประเมินกันเลยค่ะ ซึ่งผลลัพธ์ในปีแรก MFEC ก็สามารถเข้าหุ้นยั่งยืนได้สำเร็จและคว้าคะแนนในระดับ AA มาได้ค่ะ
โอกาสและเส้นทางการเติบโตที่ต้องแลกมาด้วยความทุ่มเทและตั้งใจ
ในระหว่างที่จัดเตรียมเอกสารเพื่อตอบการประเมินในปีแรก ด้วยความที่เจนเป็นคนช่างสงสัยก็มักจะเกิดคำถามในขั้นตอนต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ก็นับเป็นโอกาสดีที่เราได้เรียนรู้การทำงานด้านความยั่งยืนกับที่ปรึกษาแบบครบวงจรไปเลยค่ะ ซึ่งคำถามที่นอกเหนือจากการทำแบบประเมินเจนก็มีทำการบ้านไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งอื่น ๆ ด้วยนะคะ การเรียนรู้ของเจนในช่วงนี้เหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์ ที่ต้องลองบิดหามุมให้ถูกต้องถึงจะลงล็อก และยิ่งต่อก็ยิ่งเห็นภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นความสนุกในการทำงาน และนั่นก็ทำให้เจนค้นพบตัวเองว่าเรามีความชอบในการทำเรื่องความยั่งยืนขององค์กร เจนมองเห็นและวางภาพการเติบโตในสายงานนี้ของตัวเองอย่างชัดเจน จึงได้มีการปรึกษาหัวหน้า พี่น้ำหอม – นารดา มานะวัฒนากิจ Corporate Communication and Branding Manager เพื่อคุยกันถึงเรื่อง Career path ซึ่งก็ตรงกับจังหวะที่มีการจัดตั้งคณะทำงานด้านความยั่งยืน (SD Committee) เพื่อให้เกิดการทำงานที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพพอดี เจนได้รับหน้าที่ในการเข้ามาเป็นเลขานุการคณะทำงานความยั่งยืน ซึ่งมีหน้าที่ดูแลงานด้านความยั่งยืนของบริษัททั้งหมด ในส่วนนี้เองต้องขอบคุณทั้งพี่น้ำหอมหัวหน้าทีม และเพื่อน ๆ ในทีม Corporate Communication and Branding (CCB) ทุกคนที่ให้การสนับสนุนและผลักดันการเติบโตบนเส้นทางนี้ไปด้วยกัน หลังจากรับตำแหน่งเจนก็มุ่งหน้าผลักดันการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในทุกมิติ ต้องยอมรับว่าหน้าที่ตรงนี้แลกมาด้วยความทุ่มเท เพราะอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าเราเริ่มจาก 0 การดำเนินงานทุกอย่างที่ทำมาควบคู่กับการที่ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และทุกการเรียนรู้มี MFEC ที่คอยสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปี 2567 เราสามารถคว้าคะแนนจาก SET ESG Rating ในระดับ AAA ซึ่งเป็นระดับสูงสุดมาได้สำเร็จตามความตั้งใจ
นอกจากความทุ่มเทของคณะทำงานแล้ว เบื้องหลังความสำเร็จในครั้งนี้คือการใช้เทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยลดความซับซ้อนและแก้ปัญหาการติดตามเอกสารในรูปแบบเดิม ๆ บน Excel ให้เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นด้วยระบบ MSustain คนที่ทำงานด้านความยั่งยืนจะทราบดีว่า การรวมเอกสารหรือข้อมูลเพื่อใช้สำหรับเขียนรายงานหรือตอบการประเมินต่าง ๆ เป็นอะไรที่ยุ่งยากและซับซ้อนมาก จากปัญหาตรงนี้เอง MFEC จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์ม MSustain ขึ้นมาและใช้ในการ Monitor งานด้านความยั่งยืนอย่างจริงจัง ทำให้กระบวนการทำงานและการติดตามข้อมูลเร็วมากขึ้น ลดข้อผิดพลาด และการเสียเวลาในการตามหาเอกสารต่าง ๆ ได้เยอะมาก ๆ ซึ่งนี่ก็นับเป็นอีกความสำเร็จหนึ่งที่เราได้มีส่วนร่วมในการทำให้การทำงานตรงนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการทำแบบงู ๆ ปลา ๆ ในวันนั้น สู่การเปลี่ยนแปลงอย่างมีคุณค่า และ Impact ต่อองค์กร
ก้าวสู่ FTSE Russell มาตรฐานใหม่ที่ภาคธุรกิจต้องรู้
ในช่วงต้นปี 2567 ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้มีประกาศยกระดับการประเมินด้านความยั่งยืนสู่สากล และเป็นครั้งแรกอีกครั้งที่เจนได้รู้จักกับ FTSE Russell ผู้ประเมินและจัดอันดับระดับโลก (Global rater) ที่ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนทั่วโลก นี่แหละค่ะที่บอกว่าพื้นฐานของคน MFEC คือต้องพร้อมเรียนรู้และสามารถปรับตัวได้ตลอดเวลา เป็นอีกครั้งที่เจนต้องเรียนรู้และปรับตัวกับการประเมินใหม่ที่เข้มข้นมากขึ้น โดย FTSE Russell จะประเมินบริษัทที่อยู่ใน SET100 Index และ SET ESG Ratings ในปี 2566-2567 และจะเปิดให้บริษัทอื่น ๆ ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมรับการประเมินได้ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป MFEC ที่อยู่ใน SET ESG Rating จึงได้เข้าร่วมการประเมินโดยอัตโนมัติ และเชื่อว่าตอนนี้หลาย ๆ บริษัทจดทะเบียนกำลังหันมาให้ความสำคัญกับการประเมินนี้อย่างแน่นอน เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าการทำงานบนเส้นทางนี้ของเจนยังคงเดินหน้าต่อไปและสายงานนี้ก็ได้กลายมาเป็นที่ต้องการในตลาดเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้องขอขอบคุณ MFEC ที่เป็นบริษัทที่เปิดกว้าง ให้อิสระในแง่ของความคิด และที่สำคัญคือให้พื้นที่ในการพัฒนาศักยภาพอย่างไม่หยุดนิ่ง ทำให้เราสามารถเติบโตบนเส้นทางที่ชัดเจน สุดท้ายนี้เจนอยากจะฝากไว้ว่าโอกาสเป็นของคนที่พร้อมเสมอ “อย่ากลัวที่จะลอง อย่ากลัวที่จะเรียนรู้” เพราะการพัฒนาศักยภาพของตัวเองอย่างจริงจัง จะดึงดูดโอกาสดี ๆ เข้ามาหาเราเสมอค่ะ
