Third Party Cookie การสมดุลใหม่ระหว่างวงการโฆษณาและความเป็นส่วนตัว
ความเป็นส่วนตัวเป็นประเด็นสำคัญอย่างมากในช่วงหลังที่เราพบว่าบริการต่างๆ เข้าถึงข้อมูลของเราได้อย่างง่ายดายมากขึ้น เช่น เราอาจจะถูกโทรมาโฆษณาจากบริษัทแปลกๆ ที่เราไม่เคยให้ข้อมูลเอาไว้ แต่แนวทางทั่วโลกที่ผู้บริโภคเริ่มแสดงความไม่พอใจ และภาครัฐที่เข้ามากำกับกันมากขึ้นก็ทำให้แนวทางนี้เริ่มเปลี่ยนไป ในโลกไอทีเอง เราอาจจะเคยแปลกใจที่เมื่อเราเข้าไปซื้อของชิ้นหนึ่ง โฆษณาของประเภทเดียวกันสามารถติดตามเราเข้าไปยังเว็บอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก หรือโฆษณาตามเว็บต่างๆ ได้ กระบวนการติดตามตัวผู้ใช้นี้ใช้หลายเทคนิคและใช้ข้อมูลต่างกันไป แต่ข้อมูลหนึ่งที่ใช้คือ cookie ในเบราว์เซอร์ของเรา cookie เป็นข้อมูลที่เซิร์ฟเวอร์กำหนดให้เบราว์เซอร์ส่งกลับไปทุกครั้งที่เรียกใช้งานเว็บ มันทำให้เว็บสามารถให้บริการที่ต้องล็อกอินได้อย่างปลอดภัยเพราะแจกค่า cookie ให้กับผู้ใช้แต่ละคนโดยไม่ซ้ำกัน เมื่อผู้ใช้ล็อกอินด้วยรหัสผ่านสำเร็จเซิร์ฟเวอร์ก็จะผูกว่าผู้ใช้นั้นใช้ cookie ค่าอะไร แต่ในหน้าเว็บหนึ่งๆ อาจจะมีการเรียกใช้ข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากนับสิบตัว เซิร์ฟเวอร์เหล่านั้นสามารถสั่งให้เบราว์เซอร์ตั้งค่า cookie ได้เช่นเดียวกัน แม้ไม่ใช่เว็บที่กำลังใช้งานอยู่โดยตรง เรียกว่า third party cookie กระบวนการนี้ทำให้เฟซบุ๊กรับรู้ว่าเราเข้าเว็บอะไรบ้าง เพราะเว็บจำนวนมากมีปุ่ม like หรือหากเครือข่ายโฆษณาใช้เซิร์ฟเวอร์ร่วมกันก็จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ว่าผู้ใช้เข้าชมหรือสนใจซื้อสินค้าอะไรบ้าง แต่เบราว์เซอร์ยุคใหม่ๆ เริ่มไม่ยอมรับ third party cookie มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้และเบราว์เซอร์ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงอย่าง Chrome นั้นก็ประกาศว่าอาจจะปิดการทำงาน third party cookie ภายในสองปี น่าจะมีผลกระทบต่อวงการโฆษณาพอสมควรทีเดียว นับเป็นเรื่องที่วงการโฆษณาออนไลน์ต้องหาแนวทางที่ยอมรับได้กันต่อไป – – – โดยคุณลิ่ว วสันต์ ลิ่วลมไพศาล Chief Technology Officer, MFEC