Skip links
View
Drag

Success Stories

MFEC พัฒนาระบบ LINE API

MFEC ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบ LINE API ที่เป็นส่วนเชื่อมต่อระหว่าง LINE Platform กับ Legacy System ของธนาคาร เพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานจากลูกค้าของธนาคารจำนวนมาก ให้สามารถเข้ามาใช้บริการของธนาคารในการติดต่อและขอทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ เช่น ขอดูยอดเงินในบัญชีหรือบัตรเครดิตที่ผูกบริการไว้ได้ หรือการรับข้อมูลข่าวสาร หรือข้อมูลผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของทางธนาคารได้  โดยการพัฒนาระบบในครั้งนี้ MFEC ได้ใช้ LIFF (LINE Front-End Framework) พัฒนาในส่วนของหน้าบ้าน (Web View) ด้วยภาษา Vue.js และใช้ Spring Boot Framework พัฒนาในส่วนของหลังบ้าน (API Services) ด้วยภาษา Java โดยทำงานอยู่บน Container Platform และในส่วนของ Automate Tools ใช้ Jenkin ในการทำ Pipeline สำหรับกระบวนการทำ CI / CD (Continuous Integration / Continuous Delivery) ทำให้การพัฒนาระบบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย   คุณปัญญา พรขจรกิจกุล Business Unit Director ฝ่าย Digital Delivery จาก MFEC กล่าวว่า “ทันทีที่ลูกค้าติดต่อเข้ามา เราก็รีบส่งทีม Fast Adoption of Solution and Technology (FAST) ซึ่งเป็นทีมที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการพัฒนาระบบแอปพลิเคชันไปให้บริการทันที โดยตอนนั้นเองเป็นช่วงที่โควิด-19 กำลังแพร่ระบาด ทีมงานตอนนั้นจึงต้องทำงานแบบ Work from Home แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดอุปสรรคแต่อย่างใดจนกระทั่งส่งมอบงานให้ลูกค้าได้สำเร็จและตรงเวลา”   คุณอนุชาติ อัศววิวัฒน์พงศ์   Business Unit Manager ฝ่าย Digital Delivery จาก MFEC กล่าวว่า “ในช่วงที่เราต้องพัฒนาระบบ LINE API ตอนนั้นเป็นช่วงที่อยู่ในระหว่างที่ทุกคนในทีมต้อง Work from Home ถือเป็นความท้าทายมาก ทีมงานจึงต้องมีการสื่อสารกันมากขึ้น โดยในแต่ละวันทางทีมจะมีการ Scrum งานทุกเช้าและเย็นเพื่อเป็นการอัปเดตกันสม่ำเสมอว่าใครกำลังทำอะไรอยู่บ้าง ความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว หรือใครติดปัญหาอะไรหรือเปล่า เพื่อให้รู้สถานะของแต่ละคน และพยายามสื่อสารกับลูกค้าให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในภายหลัง และในที่สุดเราก็สามารถส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ”   MFEC มุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพของพนักงานทุกคนเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้พนักงานสามารถรับมือและตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดสภาวะวิกฤต อีกทั้งยังมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการและช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับลูกค้า MFEC พร้อมอยู่เคียงข้างและให้บริการไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางวิกฤตใด  

admin mfec

admin mfec

“Automation Challenge” 
เวทีประลองไอเดียสู่การสร้างสรรค์ไอทีที่มีคุณค่า

พบกับกิจกรรม “Automation Challenge” กิจกรรมแรกภายใต้แคมเปญ “M Ground” เปิดเวทีให้พนักงาน MFEC ได้เข้ามาประลองไอเดียสู่การสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่มีคุณค่า และช่วยกันค้นหาวิธีการทำงานที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกท่าน โดยเจ้าภาพแรกเป็นพนักงานของ MFEC ที่นั่งทำงาน On Site งานนี้พนักงาน MFEC ต่างก็ฟอร์มทีมเตรียมความพร้อมเพื่อลงแข่งขัน “Automation Challenge” กันอย่างคึกคัก และนอกจากการรวมทีมกันเองของพนักงาน MFEC แล้ว ยังมีเพื่อนๆ จากต่างบริษัทเข้ามาร่วมทีมลงแข่งขันด้วยเช่นกัน หลังจากที่พนักงานฟอร์มทีมกันเกิดขึ้น MFEC ก็ได้ผู้เข้าแข่งขันในกิจกรรม “Automation Challenge” ถึง 15 ทีมด้วยกัน โดยในรอบ Pitching Day นี้ผู้เข้าแข่งขันทุกทีมต่างก็ได้นำเสนอไอเดียสุดสร้างสรรค์กันอย่างไม่มีใครยอมใคร ด้วยใจที่อยากจะพัฒนา Solution ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า สร้างความหนักอกหนักใจให้กับเหล่าคณะกรรมการกันยกใหญ่ และในวันนั้นเองหลังจากที่ผู้เข้าแข่งขันได้รับฟังข้อเสนอแนะและคำแนะนำเพิ่มเติมจากเหล่าคณะกรรมการก็เกิดปรากฎการณ์การรวมทีมและร่วมมือกันเกิดขึ้น การแข่งขันในครั้งนี้ทำให้เรามองเห็นแล้วว่าผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดไม่ได้เข้ามาแข่งขันเพื่อคาดหวังชัยชนะสู่ตนเอง แต่เป็นการแข่งขันเพื่อค้นหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง จากการรวมทีมกันเมื่อรอบ Pitching Day ทำให้ในรอบ Demo Day นี้เหลือผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 11 ทีมด้วยกัน แต่ละทีมได้นำคำแนะนำจากคณะกรรมการไปปรับใช้ในไอเดียของทีมตนเองกันอย่างเข้มข้น จนได้มาซึ่ง Solution ที่ดีที่สุดของแต่ละทีม ท้ายที่สุด MFEC ก็ได้ผู้ชนะในกิจกรรม “Automation Challenge” เป็นที่เรียบร้อย ด้วย DNA เดียวกันของพนักงานทุกคนจากคำว่า “Always Exceed Expectations” ทำให้ทุกคนต่างรับรู้ดีว่าความสำเร็จของการแข่งขันในครั้งนี้ไม่ใช่การได้รับชัยชนะหรือรางวัลสูงสุด แต่เป็นการที่ทุกคนได้มองเห็นเป้าหมาย และสามารถสร้างคุณค่าให้กับทุกงานที่ได้ทำ และด้วยใจที่อยากจะพัฒนา Solution ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในครั้งนี้นับเป็นความสำเร็จที่แท้จริงของทุกคน งานนี้ได้รับเกียรติจากคุณเล้ง ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร (CEO, MFEC) เข้ามาร่วมพูดคุยและมอบรางวัลให้กับผู้เข้าแข่งขันซึ่งนอกจากจะเป็นพนักงานจาก MFEC เองแล้วก็ยังมีเพื่อนนักงานจากบริษัทอื่นเข้ามาร่วมทีมกันอีกด้วย เรียกได้ว่านอกจากกิจกรรมจะช่วยส่งเสริมให้ผู้เข้าแข่งขันได้พัฒนาศักยภาพของตัวเอง ได้ส่งมอบ Solution ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าแล้ว ยังทำให้ทุกคนได้รับมิตรภาพใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย

admin mfec

admin mfec

MFEC ร่วมกับ Cisco ผลักดัน Digital-First Strategy 
ด้วย Full-Stack Observability Solution

แม้คำว่า Digital Transformation จะได้รับการพูดถึงมายาวนาน แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีองค์กรเพียงไม่กี่แห่งที่เริ่มลงมือนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจของตนเอง จนก้าวล้ำหน้าและยืนหยัดท่ามกลางสมรภูมิแห่งความไม่แน่นอน จนเมื่อทุกธุรกิจได้รับผลกระทบจากการเผชิญหน้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด หรือว่ากำลังมีความต้องการพัฒนาองค์กร ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนี้จึงทำให้คำว่า Digital Transformation ได้รับการพูดถึงอย่างมากอีกครั้ง และหลายบริษัทต่างเห็นพ้องต้องกันว่า นี่คือเวลาของความท้าทาย ที่ต้องเร่งปรับตัวเปลี่ยนแปลงนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาขับเคลื่อนธุรกิจอย่างจริงจังเสียที คุณศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร CEO บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ผู้เป็นหัวเรือใหญ่ในการทำ Digital-First Strategy ให้ทั้งองค์กรตนเองและกลุ่มลูกค้า ได้คอยเน้นย้ำเสมอถึงความสำคัญของการTransformation ว่าการเตรียมตัวที่จะเปลี่ยนแปลงที่ดี ต้องมีทีมงานที่ถูกต้อง มีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน แล้วจึงเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาช่วยเสริมให้การ Transform นั้นสำเร็จ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา MFEC พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเพราะต้องการเพิ่มประสิทธิภาพและโอกาสการแข่งขันในตลาดให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น การปรับองค์กรโดยนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อแก้ไขกระบวนการธุรกิจ (Business Process) จะช่วยเสริมประสบการณ์ให้กับผู้ใช้และลูกค้า และยังช่วยให้การปรับการทำงานของพนักงาน (Workforce) ให้ต้นทุนต่ำลง เพื่อสามารถสร้างธุรกิจใหม่ หรือแพลตฟอร์มใหม่ในการต่อยอด ขยายไปยังธุรกิจอื่นต่อไปได้อีก แม้แต่ผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Cisco เองก็ตระหนัก และมุ่งเน้นการทำ Digital Transformation อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน คุณทวีวัฒน์ จันทรเสโน กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทย ได้แสดงความเห็นว่า ผลกระทบของวิกฤตการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมาทำให้การดำเนินธุรกิจของแทบทุกองค์กรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง การศึกษานำเอาเทคโนโลยีที่เหมาะสมเข้ามาเพิ่ม เพื่อขับเคลื่อนการปฏิบัติงาน และดำเนินธุรกิจ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และอาจสังเกตเห็นได้ว่าในช่วงวิกฤตการณ์ที่ผ่านมา การพัฒนาของเทคโนโลยี และการนำเอาเทคโนโลยีไปใช้งาน จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วขึ้นมาก องค์กรใดที่มีเทคโนโลยีที่พร้อม มีความรวดเร็วในการตัดสินใจ และมีความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ พนักงานก็สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิผล และรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เช่นทาง Cisco เองที่มีเทคโนโลยีต่างๆ ให้สามารถทำงานในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากบ้าน 100% หรือทำงานแบบผสม (Hybrid) โดยมี WebEx ช่วยให้พนักงานสามารถสื่อสารกันหลากหลายรูปแบบ ทั้งการแชร์ไฟล์ และข้อความ แบบส่วนตัวและกลุ่ม รองรับการทำประชุมผ่าน Video Conferencing ทั้งส่วนตัวและจากห้องประชุม มีระบบ Security เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล เพื่อความมั่นใจของผู้ใช้ โดยเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นระบบพื้นฐานที่ทาง Cisco มีให้ทุกคนอยู่ก่อนที่จะเกิด COVID-19 ดังนั้นจึงไม่ต้องมีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงมากนัก ทุกคนสามารถขอระบบ CVO (Cisco Virtual Office) เพื่อทำงานที่บ้านได้ การเปลี่ยนแปลงของบริษัท Cisco มีอยู่ตลอดเวลา รวมถึงทางด้านผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมากขึ้น มาถึงทุกวันนี้ Cisco ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในบริษัทซอฟท์แวร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกไปแล้ว หนึ่งในซอฟท์แวร์ที่ MFEC และ Cisco มีวิสัยทัศน์ในการทำงานร่วมกันคือโซลูชัน Full-Stack Observability ที่สามารถตอบโจทย์ขององค์กรคือต้องมีเครื่องมือที่ช่วยทั้งการพัฒนา ตรวจสอบ สเกล ตลอดจนดีไซน์แอปพลิเคชันอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ทีมงานที่เคยแยกกันทำงานหลายๆ ทีม ทั้ง AppOps, InfraOps, NetOps และ SecOps สามารถมีเครื่องมือในการติดตามตรวจสอบและวิเคราะห์การทำงานของแอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อน ทั้งระบบโครงสร้างของโปรแกรม การกระจายตัวของแอปพลิเคชันที่อยู่หลายระบบ Cloud การมี Security ที่ต้องดูแลหลายระดับ การมี

admin mfec

admin mfec

SMART LIFE – SMART METRO ชีวิตการเดินทางที่ไร้น้ำมัน

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ได้จัดพิธีลงนาม MOU ด้วยความร่วมมือระหว่างบริษัท พลังงานมหานคร, การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และพันธมิตรทางธุรกิจ จัดตั้ง “โครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า” ภายใต้ชื่อ “EA Anywhere” นวัตกรรมใหม่ ที่จะเปลี่ยนแปลงการคมนาคมในประเทศไทยในอนาคต จากกระแสทั่วโลกที่ให้ความสำคัญในการแก้ปัญหามลพิษที่ปล่อยมาจากยานพาหนะที่ใช้น้ำมัน  ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศสที่ตั้งเป้าห้ามขายรถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงภายในปี 2040 หรือแม้แต่ประเทศอังกฤษ วางแผนเตรียมเก็บภาษีมลภาวะจากรถยนต์ และประเทศไทยเองก็ให้ความสนใจที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดมลภาวะทางอากาศ โดยเริ่มต้นติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า EA  Anywhere เบื้องต้นตั้งเป้าหมายติดตั้งจุดบริการทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 1,000 สถานี ภายในปี 2561 ด้วยงบลงทุนรวม 600 ล้านบาท โดยสถานีอัดประจุไฟฟ้า EA  Anywhere นี้ เกิดขึ้นจริงอย่างสมบูรณ์แบบและพร้อมให้บริการแล้ว ที่อาคารจอดรถ Siam Paragon ชั้น GA NORTH และ Siam Car Park ชั้น GB รองรับการชาร์จได้พร้อมกันถึง 6 คัน ใช้ได้ทั้งรถยนต์ประเภทปลั๊กอินไฮบริดจ์ (Plug-in Hybrid Electric Vehicle : PHEV) และประเภทแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle : BEV) ตัวสถานีถูกออกแบบให้ใช้งานง่าย และมีความปลอดภัยสูง ที่สำคัญสามารถใช้บริการชาร์จไฟฟ้าได้ฟรีไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2560 และขยายต่อเนื่องไปยังพื้นที่ของพันธมิตร เร็ว ๆ นี้

admin mfec

admin mfec

พระอินทร์ฟินเทคกับการใช้ Robotic Process Automation

บริการรับชำระเงินนับเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจในยุค COVID-19 จากการทำธุรกรรมออนไลน์ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ธุรกรรมที่ซื้อขายสินค้าหน้าร้านเช่นเดิมก็นิยมจ่ายเงินในช่องทางดิจิทัลกันมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงการสัมผัสเงินสด พระอินทร์ฟินเทคเป็นบริษัทฟินเทคหนึ่งที่ให้บริการร้านค้าให้สามารถรับชำระจากหลากหลายช่องทาง ทั้งอินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง, บัตรเครดิต, หรือช่องทาง Thai QR Payment ในชื่อบริการ ChillPay ในยุคที่ธุรกิจต้องเดินหน้าไปด้วยความเร็วสูง จุดเด่นของ ChillPay คือการโอนเงินเข้าสู่ร้านค้าภายในหนึ่งวันทำการไม่ว่าลูกค้าจะชำระจากช่องทางใดก็ตาม ความเร็วเช่นนี้ต้องการการตรวจสอบที่รอบคอบพร้อมๆ กับการทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบเพื่อให้การชำระเงินถูกต้องครบถ้วนไปพร้อมกับรวดเร็วตรงเวลา ทางพระอินทร์ฟินเทคอาศัย Robotic Process Automation (RPA) เพื่อลดระยะเวลาทำงานซ้ำซ้อน เปิดทางให้เจ้าหน้าที่มีเวลาสอบทานความถูกต้องของธุรกรรมแทนที่จะเสียเวลาไปกับการคำนวณค่าและกรอกข้อมูลต่างๆ ด้วยตัวเอง แม้ว่าธุรกรรมจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม ผู้ค้าที่เป็นลูกค้าของ ChillPay มีการใช้บริการช่องทางชำระเงินหรือ Payment Channel ที่ตอบทุก Segment ของลูกค้า เช่นกลุ่มนักธุรกิจที่ชำระเงินผ่านบัตรเครดิต หรือกลุ่มเด็กที่เล่นเกมออนไลน์ ถือเป็นกลุ่มที่ไม่มีบัตรเครดิตแต่สามารถชำระเงินออนไลน์ผ่านทางตู้บุญเติม หรือเคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อที่รองรับการจ่ายเงินสด เป็นต้น การใช้ช่องทางรับเงินที่หลากหลายทำให้ RPA เข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญ สามารถปรับตัวเข้ากับบริการต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ทุกช่องทาง คุณเพิ่มบุญ เอี่ยมสุภาษิต ผู้ก่อตั้งพระอินทร์ฟินเทคกล่าวถึงการใช้งาน RPA  “บริการ Payment Gateway ของ ChillPay มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรจำนวนมาก หลายบริการไม่ได้เปิด API อย่างเป็นทางการ ทำให้เดิมเราต้องอาศัยเจ้าหน้าที่มาดึงข้อมูลจากระบบภายใน คำนวณและตรวจสอบความถูกต้อง แล้วกรอกข้อมูลไปยังระบบภายนอกจำนวนมาก การใช้ RPA ทำให้กระบวนการเหล่านี้เป็นอัตโนมัติทั้งหมด เจ้าหน้าที่เข้ามาทำงานในตอนเช้าแล้วสามารถดูรายงานที่สร้างโดย RPA เพื่อยืนยันความถูกต้อง แล้วตรวจทานว่ากรอกข้อมูลไปยังระบบคู่ค้าถูกต้องหรือไม่ กระบวนการนี้ใช้เวลาน้อยลงมาก จากเดิมใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงวันละไม่เกิน 20 นาทีเท่านั้น” คุณธัญกมล ปิ่นทอง Financial and Budget Control Director ระบุว่า “การใช้งาน RPA นับเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำ Digital Transformation ขององค์กร องค์กรจำนวนมากไม่สามารถรอการสร้างระบบไอทีใหม่ๆ เพื่อให้ process ในธุรกิจกลายเป็นระบบอัตโนมัติได้ การใช้ RPA ที่ประสิทธิภาพสูงและใช้งานง่ายอย่าง UiPath เปิดทางให้เจ้าหน้าที่ทางธุรกิจสามารถปรับการทำงานของตัวเองเป็นการทำงานอัตโนมัติได้ทันที ทำให้เราลงทุนกับ UiPath เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการสนับสนุนองค์กรที่ต้องการทรานส์ฟอร์มองค์กรไปสู่การทำงานอย่างอัตโนมัติเต็มรูปแบบทุกส่วนขององค์กร” คุณธเนศ เชี่ยวชาญลิขิต Business Services Management Manager ระบุว่า “UiPATH นับเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์ RPA ขั้นนำของโลกที่ MFEC ซัพพอร์ตอย่างต่อเนื่อง จนได้ Gold Partner ในปี 2020 ที่ผ่านมาและเราเชื่อว่า UiPath จะสามารถช่วยให้องค์กรต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานทั้งองค์กรในระยะยาวได้ต่อไป” สนใจรับคำปรึกษาการปรับองค์กรไปสู่การทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบติดต่อ email : ps-bsm@mfec.co.th  หรือ scan QR code ผ่านช่องทาง LINE OA

admin mfec

admin mfec

The New Lifestyle Banking ยกระดับความ Cool ด้วย SCB EASY

นาทีนี้คงหนีไม่พ้นความฮอตของฟังก์ชั่น “กดเงินไม่ใช้บัตร” จากธนาคารไทยพาณิชย์ ที่สามารถยึดครองพื้นที่สื่อทั่วฟ้าเมืองไทยกับการเปิดตัวสุดอลังการของโมบายแบงก์กิ้งแอปพลิเคชัน SCB EASY ที่ยกระดับความคูลเป็นเวอร์ชั่น 3.0 รองรับทั้งระบบ iOS และ Android ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้อย่างแท้จริง กับการลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท พัฒนา Digital Platform แอปพลิเคชัน SCB EASY ที่ #เป็นทุกอย่างเพื่อคุณ ด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุด อาทิ Data Analytics Stack,  API Gateway และ Microservices Architecture ฯลฯ เพื่อระบบที่มีความปลอดภัยสูงสุด รองรับการเติบโตของผู้ใช้ ตลอดจนความเสถียรในการให้บริการ พร้อมก้าวขึ้นเป็น ผู้นำด้านดิจิทัลแบงกิ้งอันดับ 1 ของประเทศ และตั้งเป้าจำนวนลูกค้าผู้ใช้แอปพลิเคชันกว่า 8 ล้านราย จากปัจจุบัน 4 ล้านราย รวมถึงฟีเจอร์เด็ดที่สื่อต่างๆ พูดถึงใน แอปพลิเคชัน SCB EASY อาทิ Cardless ATM สามารถกดเงินสดได้โดยไม่ต้องใช้บัตร Easy App Protection ที่นอกจากระบบความปลอดภัยบนแอปพลิเคชัน ไทยพาณิชย์ยังสร้างความมั่นใจด้วยการคุ้มครองความเสียหายวงเงินสูงสุด 1 แสนบาท คุณธนา เธียรอัจฉริยะ รักษาการ Chief Marketing Officer ธนาคารไทยพาณิชย์ ยังกล่าวในงานถึงการเปิดตัวแอปพลิเคชัน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2560 ว่า “นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ภายในสิ้นปีนี้จะยังมีฟีเจอร์ใหม่และความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจในการนำเสนอบริการอื่น เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และด้วยสถาปัตยกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ของเราจะทำให้เราสามารถเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ในอนาคตได้อย่างรวดเร็ว” Why Microservices Architecture? ตลอดระยะเวลา 10 เดือนกับความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีระดับแนวหน้ามาใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน SCB EASY โฉมใหม่ในครั้งนี้ คุณธนา โพธิกำจร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสายงาน Digital Banking ได้กล่าวถึงเหตุผลที่เลือกสถาปัตยกรรม  Microservices Architecture  เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาแอปพลิเคชัน ดังกล่าวว่า “ไม่ใช่แค่ดีระดับประเทศ แต่ดีที่สุดในโลก ด้วยโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่จะแยกระบบบริการต่างๆ เป็นส่วนๆ เพื่อรองรับการขยายบริการที่สามารถเพิ่มเติมฟังก์ชั่นได้อย่างเป็นอิสระและไม่ซับซ้อน สามารถเลือกปรับปรุงเฉพาะส่วน ไม่ต้องมารวมทุกอย่างไว้ที่ศูนย์กลางเดียวเหมือนอย่างที่ผ่านมา” ทั้งนี้ ไทยพาณิชย์ย้ำชัดว่า การพัฒนาโมบายแบงก์กิ้งแอปพลิเคชัน SCB EASY ในครั้งนี้ เป็นเพียงก้าวแรกของการให้บริการทางการเงินที่ช่วยยกระดับภาพรวมและสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการเงินธนาคารของประเทศให้ทันต่อการแข่งขันในยุคดิจิทัลที่คู่แข่งขันในตลาดไม่ใช่แค่ธนาคารด้วยกันเองอีกต่อไป ท้ายที่สุด MFEC ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งในทีมพัฒนาแอปพลิเคชัน SCB EASY และยังเป็นบริษัทพาร์ทเนอร์ของธนาคารไทยพาณิชย์ด้วยความสัมพันธ์อันยาวนานและอยู่เคียงข้างในทุกย่างก้าวแห่งความสำเร็จ ขอแสดงความยินดีกับเสียงตอบรับที่ดีจากการเปิดตัวแอปพลิเคชัน SCB EASY ด้วยยุทธศาสตร์สำคัญ ในการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อมุ่งสู่การเป็น The Most Admired Bank

admin mfec

admin mfec

รู้ยัง…บัตรเดบิตหายทำใหม่ง่ายๆ ผ่านมือถือ 7 วันส่งถึงบ้าน

K PLUS อันดับ 1 โมบายแบงค์กิ้ง   รางวัล “THE BEST MOBILE BANKING PROJECT” จาก The Asian Banker เป็นเครื่องการันตี ให้กับธนาคารกสิกรไทยในฐานะธนาคารยอดเยี่ยมด้าน Mobile Banking  และ MFEC ในฐานะผู้พัฒนา Application ที่ผ่านหลักเกณฑ์การพิจารณา ในเรื่องของข้อเสนอ  ความสะดวกในการสมัครใช้บริการ ประโยชน์ตามความต้องการของลูกค้า รวมไปถึงความปลอดภัย ทำให้ผลิตภัณฑ์มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น มีผู้ใช้งานสมาร์ทแอพพลิเคชั่นทางการเงินนี้ กว่า 3 ล้านราย เป็นข่าวดังเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ล่าสุดทางแบงค์กสิกร ไม่หยุดเติมความ “ง่าย” ให้กับลูกค้าด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ เพิ่มความสะดวกสบายในการออกบัตรเดบิต ตอบรับดิจิทัลไลฟ์สไตล์ ให้ลูกค้าสามารถสมัครบัตรเดบิตใหม่ผ่านแอพพิเคชั่น K-Mobile Banking PLUS โดยไม่ต้องไปสมัครที่สาขา เอาใจกลุ่มลูกค้าที่ต้องการจะสมัครบัตรใหม่ ต่ออายุบัตร หรือบัตรสูญหาย สามารถทำได้ทันที K PLUS  “ความง่าย” ที่น่าภูมิใจ MFEC ในฐานะบริษัทพาร์ทเนอร์ของธนาคารกสิกรไทย รู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค และได้รับความสนใจจาก  The Asian Banker  ทำการเก็บข้อมูลจากข่าวสาร ข้อเท็จจริงและความเคลื่อนไหว ของวงการ  Mobile Banking  ทั่วเอเชีย ก่อนพิจารณาความเหมาะสม ศึกษาวิธีการสมัครบัตรผ่าน K-Mobile Banking PLUS ได้ที่ https://www.kasikornbank.com/promotion/issue-debitcard-via-KMB อ่านข่าวรางวัล “THE BEST MOBILE BANKING PROJECT” ได้ที่ https://goo.gl/mpbHnC

admin mfec

admin mfec

ตีตั๋วขึ้น KAAN ผ่าน Panda Pass

ณ วันนี้คงจะปฎิเสธไม่ได้ว่า ปัญจลักษณ์พาสุข จำกัด คือ บริษัท Startup สายเอนเตอร์เทนเมนท์ที่ใหญ่ที่สุด และผลผลิตอย่าง KAAN ก็คือ ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ Live Show สัญชาติไทยที่อัดแน่นด้วยเทคนิคระดับโลกหลากรูปแบบ ทำให้เชื่อได้ว่าไม่นาน “KAAN” จะกลายเป็นแลนมาร์คแห่งใหม่ใจกลางพัทยา ในขณะที่ “Panda Pass” หรือ Digital Ticket Platform จะขึ้นแท่นเป็นระบบจองตั๋วดิจิทัลน้องใหม่ไฟแรงภายใต้คอนเซ็ปต์ ซื้อง่าย จ่ายคล่อง รองรับการทำงานลักษณะ Member Card, Loyalty Card ในอนาคต New experience for digital ticket Panda Pass เปิดตัวเป็นที่รู้จักในฐานะตัวแทนจำหน่ายบัตรออนไลน์เข้าชม KAAN Show มาครบทั้งตู้ KIOSK และ Automatic Gate รวมถึง RFID Card โดยที่มาที่ไปของระบบจำหน่ายตั๋วน้องใหม่รายนี้ เริ่มต้นจากแนวคิดการสร้างธุรกิจรูปแบบ Co-Investment, Revenue Sharing ของทีมผู้บริหาร MFEC  มุ่งเปลี่ยนมุมมองลูกค้าเป็น Business Partner เน้นการสร้างความเชื่อมโยงในการให้บริการข้ามธุรกิจได้สะดวก และง่ายยิ่งขึ้น MFEC ส่ง Panda Pass ลงสนาม DIGITAL TRANSFORMATION ในยุคที่ดิจิทัลครองเมือง ความท้าทายหนึ่งที่เหล่าผู้ประกอบการทั้งรายย่อยและรายใหญ่ต่างต้องเผชิญคือ แนวทางการปรับตัวอย่างไรให้รอดจาก “Disruptive Technology” และเมื่อปรับตัวได้แล้ว จะใช้เครื่องมือใดมาสร้างโอกาส สร้างการแข่งขันทางธุรกิจ รวมถึงแนวทางการปลดแอกจากการบริหารแบบ “ยึดติด” ไม่ว่าจะเป็นการยึดติดกับกลุ่มลูกค้าเดิมๆ ยึดติดกับสินค้าหรือบริการตัวใดตัวหนึ่งที่เคยทำเงินมหาศาลให้กับองค์กร ซึ่งการยึดติดแบบนั้นมักทำให้คุณต้องสูญเสียโอกาสทองทางธุรกิจไปอย่างน่าเสียดาย จากข้อมูลข้างต้น MFEC ในฐานะบริษัทไอทีชั้นนำของเมืองไทย ได้จัดตั้งทีมงาน Digital Transformation Services ไว้รองรับสำหรับธุรกิจที่ต้องการใช้ศักยภาพของเทคโนโลยีในการเปลี่ยนแปลงการให้บริการ ช่วยคิดค้นนวัตกรรมสินค้า และนวัตกรรมโมเดลทางธุรกิจ เพื่อปฏิรูปองค์กรของลูกค้า ให้เกิดความแตกต่างไม่ว่าจะเป็นความต่างทาง Technology หรือความต่างในการสร้างความสัมพันธ์ทางการตลาดหรือ Demandใหม่ๆ ระบบ Digital Ticket Platform – Panda Pass >> www.pandapass.asia Kaan Show  >> www.kaanshow.com ติดตามความเคลื่อนไหว MFEC Society ได้ที่ https://www.facebook.com/MFECCareer/

admin mfec

admin mfec

สิ้นสุดเวลาเช้าชามเย็นชาม ด้วยตัวชี้วัดและการประเมินผล สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)

ด้วยยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนความต้องการยกระดับศักยภาพบุคลากรส่งผลให้สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ สำนักงาน ก.พ.ร. เดินหน้าครั้งสำคัญ นำระบบรายงานและประเมินผลส่วนราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่มีตัวชี้วัดเป็นพระเอกออกมาใช้ สุนทรี สุภาสงวน ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.พ.ร. กล่าวว่า ก.พ.ร. มีหน้าที่ดูแล ส่งเสริมและพัฒนาหน่วยงานราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์การมหาชน รวมกว่า 200 หน่วยงาน การนำ “คำรับรองการปฏิบัติราชการ”  และ “การรายงานผลการปฎิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์” มาใช้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นตัวช่วยในการบรรลุเป้าหมายของผลงาน “สมัยก่อนหน่วยงานต่างๆ รายงานกันเข้ามาเป็นกระดาษ ทุกสิ้นปี สำนักงาน ก.พ.ร. แทบล่ม เต็มไปด้วยเอกสารจำนวนมหาศาล ช่วงหลังเราเลยจับมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศอย่าง  MFEC  พัฒนาระบบการรายงานผลการประเมิน  เปลี่ยนจากรายงานบนแผ่นกระดาษมาสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวดเร็วและมีมาตรฐานกว่าในอดีตมาก” ทั้งนี้นอกจากคำรับรองการปฏิบัติราชการที่ทำหน้าที่คล้ายกับสัญญาข้อตกลงในการพัฒนาแล้ว สิ่งสำคัญในการเดินหน้าอย่างมีเป้าหมาย คือ การกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน เกิดประโยชน์ และส่งเสริมการพัฒนาของประเทศตามแนวยุทธศาสตร์ชาติมากที่สุด “ตัวชี้วัดแต่ละหน่วยงานนั้นแตกต่างกัน  ตัวอย่างเช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วัดจากเม็ดเงินที่นักท่องเที่ยวใช้จ่าย กระทรวงพาณิชย์ วัดจากปริมาณส่งออกข้าว กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วัดผลจากงานเรื่องวิจัย สำนักนายกรัฐมนตรี วัดผลจากการจัดการเรื่องร้องเรียน กรมควบคุมมลพิษ วัดผลจากการลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ คุณภาพแหล่งน้ำที่ดีขึ้น และปริมาณขยะที่ลดลง ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี วัดจากการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนที่มีต่อการดำเนินงานของรัฐ หรือกระทรวงสาธารณสุขที่ตัวชี้วัดขึ้นอยู่การลดปัญหาโรคสำคัญต่างๆ” สุนทรี กล่าวว่า การกำหนดตัวชี้วัด เริ่มจากปรึกษากับกระทรวงหรือหน่วยงานต้นทาง เพื่อกำหนดเป้าหมายและทิศทาง โดยมีกรอบสำคัญอย่าง ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนแผนแม่บทอื่นๆ รองรับ “กำหนดเป้าหมาย คัดกรองออกมาเป็นตัวชี้วัดหลัก สิ้นปีจะมีการรายงานและประเมินผลซึ่งกำหนดเกณฑ์การวัดระดับความสำเร็จตั้งแต่ 1-5 โดยความสำเร็จคิดจากคุณภาพและปริมาณ ซึ่งผลประเมินจะกลายเป็นตัวสะท้อนการทำงานของข้าราชการและพนักงานที่ผ่านมาตลอดทั้งปี” ทั้งนี้ นอกจากตัวชี้วัดของกระทรวงแล้ว ยังมีตัวชี้วัดร่วมระหว่างกระทรวงด้วย เนื่องจากการพัฒนาต้องมีความเกี่ยวเนื่องกันหลายฝ่าย ตัวอย่างเช่น ในแง่การท่องเที่ยว กระทรวงวัฒนธรรมอาจต้องเข้ามาร่วมในการพัฒนาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยว กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างออกแบบเส้นทางให้มีความพร้อม ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จำเป็นต้องเข้ามาดูเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ทั้งหมดจะถูกนำมาคำนวณร่วมกัน คำถามสำคัญคือ พลังของผลประเมินนั้นจะมีมากน้อยเพียงไร ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.พ.ร. บอกว่า “ผลคะแนน” เป็นการพิสูจน์ตัวเอง เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไข ยกระดับคุณภาพของหน่วยงานต่อไป “เปรียบเสมือนท่าว่ายน้ำ มีทั้งท่ายาก ท่าง่าย กระทรวงบางแห่งอย่างกระทรวงการคลัง แน่นอนว่า นอกจากความสามารถของบุคลากรแล้วยังต้องเผชิญหน้ากับปัจจัยความไม่แน่นอนอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศเพื่อเดินไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดนั้นมีประโยชน์ต่อการพัฒนามาก  ผลของมันวันนี้มีผลต่อการกำหนดอนาคตให้ดียิ่งขึ้น” ผู้ช่วยเลขาธิการฯ ทิ้งท้ายว่า โลกปัจจุบันและความสามารถของเทคโนโลยี กำลังผลักดันให้เหล่าข้าราชการต้องปรับตัว และให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดมากขึ้น เพื่อยกระดับความก้าวหน้าของตนเองและประเทศชาติ ขณะที่ ก.พ.ร. เองก็จะพยายามเร่งพัฒนา สร้างตัวชี้วัดที่สะท้อนความเป็นจริงสื่อถึงเป้าหมายของการปฎิบัติงานมากที่สุด เนื่องจากเข้าใจดีว่า การบริหารงานที่ขาดตัวชี้วัดหรือมีตัวชี้วัด ที่ไม่เหมาะสมจะทําให้ผู้บริหารและบุคลากรไม่ทราบข้อเท็จจริงหรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะนําไปสู่ความล้มเหลวของการดําเนินงานได้ “หน่วยงานไหนที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ก็จำเป็นต้องทำแผนปรับปรุง  เปลี่ยนภาพเช้าชามเย็นชาม ไม่ได้ทำงานไปวันๆ แต่คิดถึงผลลัพธ์ในการดำเนินงานเสมอ” สุนทรี กล่าว

admin mfec

admin mfec

Tags

Venture Lab คว้ารางวัลที่ 1 ในการแข่งขัน Workplace Crisis Hackathon 

ร่วมแสดงความยินดีกับ Venture Lab บริษัทลูกของ MFEC ที่ชนะการแข่งขันในกิจกรรม Workplace Crisis Hackathon ซึ่งจัดโดย PMAT x SOOK (สสส.) เมื่อวันที่ 2-3 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยมีตัวแทนที่เข้าร่วมการแข่งขันอย่าง คุณเมทีนี โกวิรุฬห์สกุล และ คุณศิวัช โพธิ์ไทร ภายใต้การนำของ Head of Venture Lab คุณตูน โชติมา สิทธิชัยวิเศษ ส่งผลให้ทีมคว้ารางวัลที่ 1 ผ่านโปรเจกต์ Listeny ภายใต้คอนเซ็ปต์ AI for HR (Artificial Intelligence for Human Resources) ที่จะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระของแผนกทรัพยากรมนุษย์ในการดูแลสุขภาพจิตของพนักงาน ตัวแทนทั้งสองของ Venture Lab กล่าวว่า “ทุกวันนี้หลาย ๆ บริษัทก็กำลังเผชิญหน้ากับความเครียดของพนักงานที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการทำงานที่บ้านและการมีปฏิสัมพันธ์ที่ลดลงกับสมาชิกในองค์กร ทีมของเราจึงคิดไอเดียเพื่อช่วยให้ HR รับรู้ถึงสถานะทางความเครียดของพนักงานได้ทันท่วงที และนำไปต่อยอดในการแก้ไขปัญหาต่อไป” โดยคุณตูน โชติมา ได้เสริมในภาพใหญ่ว่า “Venture Lab พร้อมสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ได้ก้าวเข้าสู่วงการ Startup มากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ ผ่านทั้งการร่วมสร้างและร่วมลงทุน” ติดตามโซลูชันและผลงานอื่น ๆ จาก Venture Lab เพิ่มเติมได้ที่: https://www.venturelab.tech/ #MFEC#Venturelab#Hackathon#Startup#PMAT#SOOK

admin mfec

admin mfec