Skip links
View
Drag

MFEC

รู้จักกับ Frankenstein OEE (Overall Equipment Effectiveness)

MFEC เรามีบริการเทคโนโลยี IoT ที่เลือกได้ตามความต้องการของทุกภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมพร้อมมุ่งสู่เป้าหมาย Smart City : Next Generation ในอนาคต วันนี้จึงจะพามาทำความรู้จักกับ 1 ใน Solution ของ IIoT (Industrial Internet of Things) ที่เป็นเทคโนโลยี Internet of Things สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมนั่นก็คือ “Frankenstein OEE (Overall Equipment Effectiveness)” เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร เพราะการใช้งานเครื่องจักรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดจำเป็นต้องวางแผนการใช้งานเครื่องจักรให้มีกำลัง การผลิตที่เต็มเวลา รวมถึงการบำรุงรักษาเครื่องจักรที่สม่ำเสมอ ซึ่ง Frankenstein OEE จะมาเป็นผู้ช่วยที่จะตอบโจทย์ได้ดีที่สุด #Frankenstein OEE ช่วยแก้ปัญหาระยะเวลาการผลิตสินค้าที่ไม่เท่ากันในแต่ละวัน (Cycle time) ปัญหาหยุดการผลิตบ่อยเพราะของเสียจากการผลิตมีจำนวนมาก (Unplan Downtime) ปัญหาไม่ทราบกำลังการผลิตของโรงงาน (Yield Capacity) และที่สำคัญจะทำให้การควบคุมมาตราฐานของเครื่องจักรมีคุณภาพสามารถทำงานได้อย่างเต็มสมรรถนะ สนใจสอบถามข้อมูลติดต่อได้ที่ Email: Ittikorn@mfec.co.th และสามารถ Download Brochure ได้ที่ https://www.mfec.co.th/th/iiot-solution/

MFEC

MFEC

Tags

สิ่งเล็ก ๆ ที่ถูกมองข้ามไปในการพัฒนา Software

การที่จะพัฒนาซอฟต์แวร์หรือว่าการสร้างสรรค์ชิ้นงานขึ้นมา หน้าที่หลักของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ก็จะเป็นเรื่องของการรับ Input เพื่อนำไป Process ตาม Requirements ที่มีอยู่เพื่อให้ได้ Output ออกมา ซึ่งสิ่งที่ควรคำนึงถึงนั่นก็คือช่วงที่มีการรับ Input จากมุมมองของคนทำงานด้าน Security “การตรวจสอบ Input ยิ่งถูกตรวจสอบน้อย ยิ่งเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นของ Hacker” เพราะการไม่ตรวจสอบ Input มักจะทำให้เกิดปัญหาด้าน Security ตามมา ปัญหาที่พบได้บ่อย เช่น SQL Injection, Cross-site Scripting (XSS) และอื่น ๆ ทำให้สิ่งเล็ก ๆ อย่างเรื่องแรกที่อยากให้นักพัฒนาเว็บไซต์คำนึงถึงคือการตรวจสอบ Input ที่รับเข้ามา จะทำให้ลดความเสี่ยงไปได้เป็นอย่างมาก ปัญหาต่อมาคือเรื่องของการตรวจสอบสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาตที่มากเพียงพอ ตัวอย่างเช่น มีคนกรอก Username และ Password เข้ามา ตรงนี้จะถือเป็นเพียงการตรวจสอบว่าคนที่ทราบ Username และ Password แต่ไม่ได้มีการตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงของเขา ดังนั้นจึงอยากให้ตระหนักว่าระหว่างที่เรากำลังพัฒนาซอฟต์แวร์ ก็ควรวางแผนในเรื่องของการทำ Authorization ให้ละเอียดมากพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่เรื่องของ Privacy เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ปัจจุบันมีผู้ใช้งานซอฟต์แวร์หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผู้พัฒนาซอฟต์แวร์จะต้องมีการเตรียมรับมือ สำหรับการรองรับ Workload มหาศาลที่จะเข้ามา วิธีการรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ทำได้ใน 2 มุม แบบแรก Scale up เป็นการขยายความสามารถของระบบโดยการเพิ่ม CPU เพิ่ม Memory เข้าไปให้รองรับ workload ได้ อีกวิธีจะเรียกว่า Scale out เป็นการขยายจำนวนระบบให้มีหลายเครื่องมากขึ้น ซึ่งแต่ละเครื่องก็จะทำงานสอดคล้องกัน ก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้รองรับ workload ที่เพิ่มขึ้นได้ แต่บางครั้ง Scale out ก็ไม่ได้ดีกว่า Scale up ในกรณีที่ผู้ใช้ไม่ได้มีจำนวนมาก และมีจำนวนคงที่ ก็จะไม่จำเป็นต้องทำ Application ให้พร้อมกับ Scale out ในการพัฒนาระบบการคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรก็เป็นเรื่องสำคัญ และมีบางปัจจัยที่อาจจะถูกมองข้ามเช่น Time Consuming การสิ้นเปลืองเวลาไปกับการขอข้อมูลจากคนนอกองค์กร จะต้องมีวิธีการจัดการอย่างไร? เรื่องของการเขียน Process ต้องมีการคำนึงถึง Algorithms ที่เลือกใช้พื้นที่ของ CPU ที่มีอยู่อย่างจำกัด และเรื่องของการใช้ Bandwidth Network บ่อยครั้งที่นึกอะไรไม่ออก Query อะไรมาได้ ก็จะขนส่งไปที่ฝั่ง Client ก่อน ส่งข้อมูลจำนวนมากเกินไป และให้ฝั่ง UX/UI ทำหน้าที่ในการเลือกใช้เองอยากให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สนใจเรื่องพวกนี้มากขึ้น หากพูดถึงปัญหาเรื่องการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับขนาดหน้าจอที่แตกต่างกัน ต้องออกแบบการแสดงผลในหลายรูปแบบ ปัญหาเรื่อง Browser Compatibility ก็เป็นสิ่งสำคัญ ความแตกต่างของเว็บไซต์ เช่น Firefox, Safari, Microsoft edge, Google Chrome, และ Opera ดังนั้นนักพัฒนาจึงต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือกับอุปกรณ์ และแพลตฟอร์มที่หลากหลายขึ้นด้วย สิ่งสำคัญที่ต้องคอยสังเกตนั่นก็คือเรื่องของ 3 A ได้แก่ 1. Authentication การพิสูจน์สิ่งใด ๆ

MFEC

MFEC

ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากเกียรตินิยม

ทุกคนบนโลกนี้ล้วนอยากประสบความสำเร็จ แต่กลับไม่รู้เลยว่าอะไรคือปัจจัยที่จะนำพา “ความสำเร็จ” ไปสู่พวกเขาได้ อย่างไรก็ตาม คุณเล้ง ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร ซีอีโอของบริษัท เอ็ม เอฟ ซี อี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ได้ค้นพบกุญแจสำคัญที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จจากการศึกษาเบื้องหลังของเหล่าคนที่ประสบความสำเร็จ “คนที่เก่ง กับ คนที่ประสบความสำเร็จในแต่ละรุ่น ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกันคนที่เรียนสูงที่สุด กับ คนที่ประสบความสำเร็จในแต่ละรุ่น ก็ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกันคนที่มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุด กับ คนที่ประสบความสำเร็จที่สุด ก็คนละกลุ่มกันความสำเร็จจึงไม่ได้อยู่ที่การศึกษา หรือ Background” คุณเล้งอธิบายว่าความสำเร็จ 30% เกิดจากตัวเรา 70% เกิดจากสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะคนเก่ง คนร่ำรวย หรือคนที่เรียนสูง หากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้ เพื่อให้เห็นภาพก็เหมือนทุเรียนชั้นดีที่ถูกปลูกในกระถาง ปลูกยังไงก็ไม่มีวันได้ผลออกมา คนก็เช่นกัน ถึงจะมีพื้นฐานที่ดียังไง หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้ไปได้ไกลได้ ก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน ดังนั้น “สิ่งแวดล้อมจึงสำคัญ และมีผลกระทบต่อความสำเร็จเป็นอย่างมาก” ด้วยเหตุผลนี้พี่เล้งจึงนำหลักการนี้มาปรับใช้กับภายในองค์กร ส่งเสริมให้บุคลากรในองค์กรประสบความสำเร็จร่วมไปกับองค์กร โดยการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม และเปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงความคิดเห็นและเติบโตในเส้นทางของตัวเอง เพื่อให้พนักงานทุกคนสามารถที่จะ “ประสบความสำเร็จ” โดยมีสิ่งแวดล้อมขององค์กรเป็นแรงผลักดัน และเกื้อกูลให้พนักงานทุกคนสามารถใช้ศักยภาพของตนเองพัฒนาตนเองและบริษัทได้อย่างสูงสุด นอกเหนือจากนี้ คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่นั้น มักจะเคยผ่านช่วงเวลาที่เคยยากลำบากมาก่อน เนื่องมาจากคนที่เคยลำบากมาก่อนนั้นจะสามารถเชื่อมต่อกับแรงผลักดันของตัวเองได้ง่าย และมีความพยายามเหนือกว่าคนอื่น ๆ พวกเขาจะมีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น และใช้จุดนี้ในการเติบโตไปในทิศทางที่ดี ดังนั้นพนักงานทุกคนจึงต้องได้รับมอบหมายงานที่หลากหลายทั้งยากและง่าย รวมไปถึงการเข้าไปร่วมทำงานกับทีมอื่น ๆ เพื่อให้เป็นการสร้างความท้าทายให้กับตนเอง เข้าใจการทำงานของทีมอื่น ๆ ในองค์กร และเป็นแรงผลักดันให้พนักงานพัฒนาศักยภาพของตนเองให้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น คุณเล้งจึงได้กล่าวว่า “ความสำเร็จนั้น ไม่ได้เกิดจากเกียรตินิยมแต่อย่างใด แต่เกิดจากการมีสิ่งแวดล้อมที่ดี และแรงผลักดันจากความลำบากของตน” การที่จะบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้นั้น เราจะต้องผลักดันให้คนในองค์กรประสบความสำเร็จร่วมไปกับบริษัทด้วย เพราะความสำเร็จของคนในองค์กรก็เหมือนความสำเร็จของบริษัท หลักการนี้จึงเป็นหลักการที่สำคัญจะช่วยผลักดันให้บริษัทประสบความสำเร็จได้

MFEC

MFEC

Tags

MFEC คว้ารางวัล Partner of the Year Award 2021 จาก UiPath

ในงาน UiPath TH Partner Gathering and Large Deal Enablement MFEC นำโดยคุณธเนศ เชี่ยวชาญลิขิต Business Service Management Manager และทีม BSM จาก MFEC ตบเท้าเข้ารับรางวัลในฐานะ UiPath Diamond Partner ที่พัฒนา RPA Platform และคุณภาพของทีมงานพร้อมด้วยความเชี่ยวชาญในด้าน RPA มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรางวัลนี้ถือเป็นอีกรางวัลที่ตอกย้ำความเชี่ยวชาญด้าน RPA Solution ที่สามารถดูแล จัดการ ให้คำปรึกษา และพัฒนาโซลูชัน RPA ได้แบบครบวงจร ทั้งนี้ หากท่านใดสนใจข้อมูลของ RPA Solution สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ps-bsm@mfec.co.th

MFEC

MFEC

Tags

สำรวจโลก Open Source ในยุค DevOps

การที่เราจะเลือก Software สิ่งที่เราควรคำนึงคือ Open Source ทุกตัวไม่ได้เท่ากัน ประการแรกที่เราควรมอง คือ ความนิยม เช่น จำนวนดาวใน GitHub ที่เวลาใครเข้าไปดูโครงการ Open Source ต่าง ๆ ก็จะมีจำนวนดาวให้ดู แล้วปริมาณดาวบ่งบอกอะไร ? ปริมาณดาวจะบ่งบอกถึงความสนใจของชุมชนโดยรวมต่อโครงการนั้น ๆ ซึ่งหากมีคนกดดาวเยอะก็แปลว่าอาจมีคนสนใจหรือใช้งานโครงการนั้น ๆ จำนวนมาก แต่ปัญหาอย่างหนึ่งคือ จำนวนดาวของ GitHub เป็นสิ่งที่จะสะสมไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นหมายความว่า บางโครงการอาจจะเคยดังเมื่อนานมาแล้ว ตอนเปิดตัวบริษัทอาจจะไม่มีคู่แข่งจึงทำให้มีผู้ที่เข้ามาใช้บริการจำนวนมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเริ่มมีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้น ทำให้โครงการนั้น ๆ มีผู้ใช้บริการที่น้อยลงส่งผลให้ในบางกรณีดาวก็ไม่สามารถวัดผลได้ แต่การใช้งานดาวนี้ก็เป็นที่ยอมรับในระดับเบื้องต้น เช่น CNCF ที่เป็นองค์กรดูแลโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับ Kubernetes นั้นมีเกณฑ์ว่าโครงการที่จะเข้าสู่แผนภาพ landscape ของ CNCF จะต้องมีดาวบน GitHub อย่างน้อย 300 ดาว ปัจจัยที่สองที่เราสามารถพิจารณาโครงการ Open Source ได้ คือ รูปแบบการอนุญาตใช้งาน แม้โครงการจะเป็น Open Source เหมือนกัน แต่แต่ละโครงการก็มีรูปแบบการอนุญาตที่แตกต่างกันออกไป บางโครงการอาจจะเปิด Source ไว้ให้ตรวจสอบเท่านั้นแต่ไม่อนุญาตให้ใช้งานเลย ซึ่งบางนิยามก็จะไม่เรียกโครงการเหล่านี้ว่าเป็น Open Source ขณะที่บางโครงการอาจจะมีข้อจำกัดบ้าง เช่น บังคับว่าผู้ที่นำ Software ไปแก้ไข ต้องเปิด Software ออกมาเป็น Open Source ด้วย หรือบางโครงการก็ขอเพียงให้เครดิตผู้พัฒนาเท่านั้น ปัจจัยที่สามคือรูปแบบการพัฒนาโครงการ แม้หลายโครงการจะมีความนิยมสูง และเปิดให้ใช้งานได้อิสระเพียงพอ แต่รูปแบบการพัฒนาอาจจะผูกกับบุคคลหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ซึ่งก็จะมีความเสี่ยง เช่น บริษัทมีแนวทางการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป ทำให้อาจจะหยุดพัฒนาบางฟีเจอร์ หรือเลิกพัฒนา Software เป็น Open Source ไปเลยก็มี หรือบางครั้งเจ้าของโครงการอาจจะไม่มีเวลามาดูแลโครงการแล้ว ทำให้หยุดพัฒนาไปเสียเฉย ๆ โครงการ Open Source ที่มีความแข็งแกร่ง (mature) มักจะดำเนินการในลักษณะชุมชนร่วมกันตัดสินใจอย่างเปิดเผย เช่น CNCF นั้นระบุว่าโครงการที่จะอยู่ในระดับ Graduated ต้องมีองค์กรร่วมกันดูแลอย่างน้อยสององค์กร

MFEC

MFEC

MFEC ดันศักยภาพบุคลากรเสริมทัพความแข็งแกร่งอย่างไร้ขีดจำกัด

สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เมล็ดพันธุ์ชั้นดีสามารถเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ ดังนั้น คุณเล้ง ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร ซีอีโอของบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC จึงต้องการที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบสำหรับเมล็ดพันธุ์แต่ละประเภท โดยคุณเล้งอธิบายว่าความสำเร็จ 30% เกิดจากตัวเรา และอีก 70% เกิดจากสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมองค์กรที่ดีจะทำให้พนักงานสามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ วัฒนธรรมของ MFEC เป็นผลลัพธ์ของค่านิยม 4 อย่าง คือ Passion Professional Teamwork และ Giver โดยค่านิยมเหล่านี้จะหล่อหลอมให้พนักงานมีความสุขในการทำงานและสร้างความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตนเองให้สามารถบรรลุเป้าหมายของการทำงานที่นอกจากจะทำให้ตนเองมีความสุขแล้วยังสร้าง Impact ให้กับสังคมได้อีกด้วย การเรียนรู้เป็นขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาตนเอง สำหรับแนวทางในการเสริมสร้างการเรียนรู้ภายในองค์กร คุณเล้งไม่เห็นด้วยกับรูปแบบการเพิ่มพูนทักษะดั้งเดิมที่เป็นการสื่อสารทางเดียว เช่น อบรมที่จัดขึ้นโดยบริษัทในเนื้อหาที่ไม่ใช่ความสนใจของพนักงานอย่างแท้จริง คุณเล้งต้องการที่จะลดการเรียนรู้รูปแบบนี้ให้น้อยลง โดยมองว่า ในปัจจุบัน ความรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การอบรมเท่านั้น อินเทอร์เน็ตเป็นคลังความรู้มหาศาลที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ในทุกเรื่องที่ใฝ่รู้ อย่างไรก็ตาม หากพนักงานมีความสนใจที่จะเพิ่มพูนทักษะบางอย่าง ทางองค์กรก็พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยสามารถรวมกลุ่มคนที่สนใจในเรื่องเดียวกันมาทำเรื่องขอให้จัดอบรมในเรื่องนั้น ๆ ได้ นอกเหนือจากการเรียนรู้จากการค้นคว้าหรือการอบรม การเรียนรู้ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้ก็เป็นแนวทางที่คุณเล้งสนับสนุน MFEC เป็นศูนย์รวมของผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีในหลายแง่มุมซึ่งแต่ละคนก็มีความรู้ที่สั่งสมจากประสบการณ์และการค้นคว้าอยู่มาก การแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันจึงเป็นแนวทางที่จะเสริมสร้างศักยภาพของพนักงานให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้ทางองค์กรจึงจัดกิจกรรมให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กันของพนักงานในองค์กรอยู่เสมอ เพื่อส่งเสริมรูปแบบการเรียนรู้ดังกล่าว “เราจะเป็นบริษัทไอทีที่คนอยากทำงานด้วยมากที่สุด ผ่านการผลักดันศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของพนักงาน เพื่อสร้างสรรค์เทคโนโลยี และยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคน” เป็นวิสัยทัศน์ขององค์กรที่ทุกคนยึดมั่นดำเนินตาม เพื่อที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนในการทำให้ชีวิตดิจิทัลของคุณดีขึ้น

MFEC

MFEC

Tags

EP.4 ระบบ APIGee

ระบบ APIGee เดิมอยู่บนระบบ Cloud และให้บริการในรูปแบบ Software as a Service (SaaS) ซึ่งมีการรับประกันประสิทธิภาพการคงอยู่ของระบบ และการให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง ตามเงื่อนไขบริการ (Service Level Agreement) คราวนี้ APIGee Hybrid จากเดิมอยู่บนระบบ Cloud มาอยู่ ณ On-premise ทำอย่างไร ที่จะรักษาคุณสมบัติเดิมทั้ง features และการรับประกันประสิทธิภาพของบริการ ให้เทียบเท่ากับการให้บริการบนระบบ Cloud การจะรักษาคุณสมบัติที่ใกล้เคียงไว้ได้ จำเป็นจะต้องมีระบบโครงสร้างพื้นฐานและรากฐานเดียวกันกับ Cloud นั่นเอง ทางเจ้าของผลิตภัณฑ์จึงต้องออกแบบระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Infra Platform) ให้สามารถนำมาติดตั้ง ใช้งานบน On-premise ได้ อย่างสะดวกต่อคนสาย IT อย่างเรามากที่สุด เพราะสร้างเสร็จ ต้องดูแลระบบดังกล่าวต่อ (Operation routine) ที่สุด Infra platform ที่ว่า ก็ออกมาในชื่อ “Anthos” (แอน-ทอส) โดยเป็นการต่อยอด จาก “Kubernetes” ที่พวกเราคุ้นเคย เรียกว่าเป็นกลุ่ม Cluster management ที่ต่อยอดและออกแบบมาเพื่อให้สามารถติดตั้ง ได้ทุกที่ทั้ง On-premise, On-Cloud ต่าง ๆ ครอบคลุม brands หลัก ๆ และจะค่อย ๆ ครอบคลุมในทุก brands ต่อไปครับ #รูปที่ผมเขียนนี้ เพื่อเป็นตัวเปรียบเปรยการทำหน้าที่ของ APIGee Hybrid กับหน้าที่ของ Anthos ครับAPIGee ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่าง เต็มประสิทธิภาพ ตามที่ได้เขียนไว้ใน EP ก่อนหน้าครับ และที่เห็นเป็น สามเหลี่ยม สี ๆ นั้น คือ “Anthos” ครับเพื่อน ๆ ทำหน้าที่จัดการทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง เหมือนเป็นโครงสร้างบ้าน ที่คอยจัดการน้ำหนักทีเพิ่มขึ้นของตัวบ้าน การขยายตัว การคงสภาวะของตัวบ้าน ให้ผู้อาศัยใช้งานได้อย่างปรกติที่สุด Anthos มีความสามารถที่ต่อยอดจาก Cluster management เพิ่มความสามารถในการสะดวกสร้าง เหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรส #Anthos ที่หากเข้าใจการเติมน้ำร้อน รู้อุณหภูมิ และเวลาที่เหมาะสม ก็จะได้ Anthos พร้อมรับประทาน และวัตถุสี ๆ ที่อยู่ล้อมรอบ นั้น ก็เป็นเสมือน เครื่องเคียงต่าง ๆ ที่ หากต้องการใช้ ก็สามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้ เช่น การจัดการแบบรวมศูนย์ การติดตั้งและสื่อสาร ระหว่าง Anthos ณ ที่ต่างๆ (on-premise, on-cloud) ตัวควบคุมการให้บริการ (Anthos Service Mesh) จากหัวเรื่องของ EP นี้ที่ทำให้ APIGee Hybrid ดูคงสภาวะให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง และเพิ่มลด ประสิทธิภาพ ในการให้บริการ ได้ตามความต้องการ (Scalability) เหล่านี้ เพราะตัวรากฐานมีความสามารถ

MFEC

MFEC

Tags

EP.3 เจาะลึก API Hybrid

รูปนี้คือความสามารถที่ APIGee มีครับ สื่อภาพออกมาเหมือนพื้นที่บ้าน(บริษัท) ที่มีการจัดวางสัดส่วนใช้สอยและสิทธิ์การเข้าถึงในพื้นที่ต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่จุดเข้าของ ผู้ใช้งาน (User, Partner) ที่จะเข้ามาใช้คุณสมบัติต่างๆ ของ “Core Engine” ผ่าน การออกแบบของ “Design API” ควบคุมความปลอดภัย เงื่อนไขข้อกำหนดต่าง ๆ โดย “Secure API” เพื่อผ่านเงื่อนไขจะเข้ามาพูดคุยกับผู้บริการ (API ที่เราเปิด Publish) โดยนับตั้งแต่ผู้ใช้งานก้าวเข้ามาในพื้นที่จะมีการติดตามดูแลเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรม ประสิทธิภาพการให้บริการโดย “Analysis API” และ “Monitor API” จากนั้น หากเป็นการให้บริการแบบมีเงื่อนไข ค่าใช้จ่าย จะมีส่วนงาน ที่คอยควบคุมการคิดเงิน การให้เข้าถึงตามสิทธิ์ที่ได้ตกลงกันไว้ โดย “Monetize API” ประมาณว่าคนนี้ VIP ก็แบบ บริการรวดเร็วทันใจไวเว่อร์ แต่หากเป็นผู้ใช้ทั่วไปอย่างผม ก็เข้าคิวรอเรียกรับบริการ API ตามหน้างานไป แบบนี้ครับ จากรูปนี้จะเห็นว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทที่มี “Core Engine” (I) หลากหลาย เนื่องด้วยความเติบโตจากความต้องการของตลาดโดยแต่ละ “Core Engine” ต้องเร็ว ต้องทันตลาด จึงมีการพัฒนาแบบแยกส่วน ต่างต้องเสร็จ ให้รองรับ Business direction ที่กำกับลงมา ดังนั้น “Core Engine” จึงแยกกันเติบโต และ โดดเดี่ยว (โห..ดูเหงา แต่เรื่องจริงครับ) คำว่าแยกกัน จึงทำให้การสื่อสารระหว่างกันนั้นมีได้เพียงการสื่อสารผ่าน การเขียนถึงกัน (File) และจะคุยกันได้เป็นรอบ ๆ (Batch) จึงทำให้ แต่ละระบบ ต้องมานัดกันว่า จะมีการ สรุปข้อมูลที่ต้องการ ในช่วงเวลาใด และ ต้องปิดระบบ เพื่อมาเขียนไฟล์ ให้ข้อมูลคงที่อย่างไร มาถึงตรงนี้ หากเปรียบเทียบความเป็นจริงในงานผู้ดูแล (Product owner) หรือคนที่รู้เกี่ยวกับระบบตัวเองทุกระบบต้องมาคุยกันในช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการเขียน เพื่อสื่อสารแบบครบถ้วนเพราะบางระบบต้องหยุดเพื่อเขียนสรุป (ไม่อย่างนั้นจะเขียนข้อมูลใหม่ไปเรื่อยๆ เป็นต้น) จึงต้องมีการคุยรอบของการส่งข้อมูลระหว่างกันที่มีความละเอียดอ่อนและต้องระมัดระวัง ส่วนของการเปิดให้บุคคลภายนอก เช่น ผู้ใช้งานหรือลูกค้า (User, Client) คู่ค้า (Partner) ก็ยิ่งเป็นเรื่องยากเพราะการสื่อสารผ่านการเขียน (File) ใช้ไม่ได้ในทุกกรณี แต่กรณีในบ้าน พอกำหนดข้อตกลงบนข้อจำกัดได้ การเปิดให้บุคคลภายนอกได้เข้าใช้งานจะช่วยให้ธุรกิจก้าวกระโดดอย่างมากเนื่องจาก “Core Engine” เป็นระบบที่คู่ค้าสร้างเองไม่ได้หรือสร้างได้ก็ลงทุนมหาศาล แถมประสบการณ์ไม่เท่ากับคนที่อยู่ในสายธุรกิจนี้มายาวนาน การแลกเปลี่ยนความสามารถที่เกื้อกูลกัน ก็จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้ดีและตอบโจทย์ความต้องการของปัจจุบันได้อย่างมาก การจะให้บุคคลภายนอกมาติดต่อโดยตรง ความปลอดภัยและการติดตามว่าใช้งานอะไร รวมถึงดูแลคุณภาพการให้บริการที่ดีเยี่ยมตามเงื่อนไขบริการ (SLA) เป็นสิ่งที่เติมเต็มให้กับระบบ “Core Engine” ได้ยาก เพราะการจะปรับปรุงพัฒนาอาจส่งผลกระทบหรือใช้ทั้งเวลาและเงินทุนมหาศาล ข้างต้นนั้น คือความวุ่นวายและความยากของระบบ “Core Engine” (หรือบางที่เรียก Legacy system) จากปัญหาเหล่านั้น ลูกค้ารายนี้เลือก APIGee ในรูปแบบ “APIGee Hybrid” เพื่อมาตอบโจทย์ทั้งการบริหารจัดการ/ให้บริการภายในและการให้บริการภายนอก โดยมีหลักการอย่างไรบ้าง มาติดตามกันต่อเลยครับ #Business understanding (เข้าใจภาพใหญ่ก่อนลงมือ)เนื่องจากระบบมีความหลากหลาย

MFEC

MFEC

เคล็ดลับการบริหารธุรกิจ “คน” คือหัวใจสำคัญ

เมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ย่อมเติบโตเป็นต้นไม้ที่สวยงาม บุคลากรก็เช่นกัน คุณเล้ง ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร ซีอีโอของบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ใช้แนวคิดดังกล่าวในการคัดเลือกบุคลากร ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ MFEC เติบโตเป็นบริษัทไอทีที่มีโครงสร้างแข็งแรงได้ในปัจจุบัน “เราควรจะหาเมล็ดพันธุ์ที่มีลักษณะดีของมัน เพราะฉะนั้นการคัดเลือกคนที่ถูกต้องเข้ามาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด” แต่จะเลือกคนที่ถูกต้องได้อย่างไรนั้น คุณเล้งอธิบายว่า หัวใจสำคัญของการเลือกคน คือ ‘การดูคนให้เป็น’ โดยมีหลักการที่น่าสนใจ ได้แก่ การไม่ถาม และคุณสมบัติถ่ายทอด จะเฟ้นหาคนที่ใช่ อย่าถาม ให้เชื่อในวิจารณญาณของเราในการดู อย่าเชื่อในสิ่งที่เขาบอก มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน สิ่งที่พูดมักจะไม่ตรงกับสิ่งที่คิด ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม นอกจากนั้น บางคำถามก็ไม่มีประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น คำถามที่มีคำตอบอยู่แล้วในบริบทนั้น ๆ เช่น ถ้าหัวหน้าถามลูกน้องว่า รักองค์กรไหม ลูกน้องก็ต้องตอบว่า รัก อยู่แล้ว นอกจากนี้ การไม่ถามจะบังคับให้เราต้องใช้การสังเกต ซึ่งเป็นวิธีที่แม้จะใช้พลังงานเยอะกว่าแต่ก็มีความแม่นยำมากกว่าเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ การไม่ถามจึงเป็นทางเลือกที่ดีสุด เมื่อรู้ถึงเทคนิคที่ใช้ในการดูแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การรู้ว่าจะดูอะไร การดูคนควรเริ่มจากการกำหนดคุณสมบัติหลักที่ต้องการจะดู โดยอาจเลือกระหว่างคุณสมบัติที่ต้องการหรือคุณสมบัติที่ไม่ต้องการ และคุณสมบัตินั้นจะสามารถสะท้อนให้เห็นถึงตัวตนโดยรวมได้ โดย คุณเล้งได้แนวคิดนี้จากคุณสมบัติการถ่ายทอดซึ่งเป็นคุณสมบัติทางคณิตศาสตร์ที่ ถ้า A = B และ B = C จะสรุปได้ว่า A มีค่าเท่ากับ C หากลองสังเกตคนรอบตัวก็จะเห็นได้ว่า คนที่มีความกตัญญู มักจะเป็นคนที่ใจกว้าง เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าคุณสมบัติบางอย่างสามารถเชื่อมโยงไปยังคุณสมบัติอื่นได้ โครงสร้างที่แข็งแรงของ MFEC จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากบุคลากรที่มีคุณภาพ ดังนั้น คุณเล้งจึงหมั่นฝึกฝนทักษะ และหากลยุทธ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อที่จะดูคนให้เป็น และให้ความสำคัญกับการคัดเลือกบุคลากร เพื่อเฟ้นหาเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสม เป็นเมล็ดพันธุ์ที่พร้อมเติบโตเป็นต้นไม้ที่สมบูรณ์ด้วยการดูแลของ MFEC ที่มุ่งพัฒนาศักยภาพของพนักงานทุกคนให้เกิดผลลัพธ์ที่ Always Exceed Expectations

MFEC

MFEC

Tags

EP.2 “API Gateway”

จากบทความที่แล้ว ได้พูดถึงคนกลางที่ชื่อ “API Gateway” มีหน้าที่บริหารจัดการทั้งการสื่อสาร การจัดการสิ่งที่ “Core Engine” แต่ละตัวต้องการแตกต่างกัน ให้สามารถเชื่อมต่อสื่อสารกันได้อย่างสมบูรณ์ ในพาร์ทนี้ จะบอกเล่าอีกขั้นของตัวกลางนั้นในชื่อว่า “API Management” โดยความสามารถจะทั้งเป็นตัวกลาง ตัวประสานงาน การจัดการด้านข้อกำหนดของการสื่อสาร จำนวนข้อความที่จะสื่อสารระหว่างกัน การซ่อนหรือการเพิ่มหรือแม้แต่การแก้ไขบางส่วน ก่อนส่งหรือรับกลับ สามารถจัดการได้ทั้งบน Cloud และ On-premise และผ่านตัวบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ (Single pane of glass) APIGee Hybrid เป็นผลิตภัณฑ์หนึ่ง ที่มีความสามารถครอบคลุมที่ได้กล่าวมาข้างต้น ซึ่งนั้นเป็นแค่เพียงบางส่วนของความสามารถทั้งหมดครับ #APIGee เป็นผลิตภัณฑ์ กลุ่ม “API Managment” หากอ้างอิงตาม Gartner จะมีการกำหนดความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่ใช้ในการประเมินดังนี้ 1. Devloper portals : ระบบบริการตนเอง (เหมือนเป็นพวก self-portal, self-services ครับ) ที่อำนวยความสะดวกให้ ผู้ใช้งาน (ไม่ว่าจะผู้ดูแลระบบ, developer ที่จะเข้ามาใช้งาน, หรือกลุ่มผู้ใช้งานต่าง ๆ) สามารถเข้ามาเพิ่มลด กำหนด ตั้งค่า ต่างๆ เพื่อใช้งาน API ที่ต้องการได้ มองทั้งความครบถ้วนของการกำหนด ค่าสำหรับ API – ความละเอียด ของการลงค่ากำหนด อย่างเหมาะสม (ไม่ซับซ้อน หรือ ละเอียดจนเกินจำเป็น แบบว่ามีไปก็เก๋ดี แต่ไม่ได้ใช้งาน เพราะบางระบบลงขนาดเหมือนให้เขียน code ส่วนนั้นเองไปเลยก็ fine gain ไปนิดส์) – ความไม่ซับซ้อน ของการกำหนดค่าต่างๆ เพราะบางที ทำ ๆ ไป งง ว่าทำถึงไหน เกี่ยวกับหน้าจอเมื่อครู่อย่างไร ทำไปทำมา ขอเริ่มทำใหม่ หรือ ไม่ก็ต้อง จดละเอียดมาก ๆ เพื่อให้การกำหนดค่า ทำได้ครบถ้วนไม่หลงทาง – ความชัดเจนของการกำหนด เงื่อนไขต่างๆ มี UI ที่บอกว่ากำหนดถึงขั้นตอนไหน (ลดความซับซ้อน จากที่กล่าวข้างต้น) และเงื่อนไขต่างๆ ไม่ขัดแย้งกันเอง ระหว่างการกำหนดค่าใช้งาน 2. API Gateways : มีระบบบริหารจัดการ ระบบประมวลผล (Runtime) รวมถึง ค่าความปลอดภัย และการใช้งานของ API ที่เราสร้างขึ้นมา เพื่อให้สามารถติดตาม ได้ว่าการทำงานเป็นไปตามที่ต้องการขณะประมวลผล (Runtime) และหากมีบางอย่างไม่ถูกต้อง ระบบสามารถสื่อสารกลับมาให้ผู้ใช้งานเข้าใจและ เข้าถึงเพื่อแก้ไข ได้สะดวกเพียงใด 3. Policy management and analytics : การกำหนดค่าต่างๆ เช่นค่าความปลอดภัยของ API (Security), API Mediation Layer (API ML) ที่มีความฉลาดในการจัดการ การสื่อสารเป็นตัวกลางที่ดีและปลอดภัยระหว่างกัน

MFEC

MFEC